หยุด! “โรคสายตาขี้เกียจ” ในเด็กบันไดแรกก่อนสู่วัยเรียน

โรคสายตาขี้เกียจ หรือ ตาขี้เกียจ (Amblyopia) คือ การมองไม่ชัด เกิดจากการรับภาพของสมองผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้มองไม่ชัดแม้จะทำการแก้ไขค่าสายตาด้วยการใส่แว่นที่ดีที่สุดแล้วก็ตาม ซึ่งมักเกิดในช่วงที่สมองเกี่ยวกับการมองเห็นยังเปราะบางและกำลังพัฒนา คือช่วง 10 ปีแรกของช่วงชีวิตเด็ก โดยเด็กกลุ่มนี้ เมื่อจักษุแพทย์ตรวจแล้วจะพบว่ามองเห็นไม่ชัด แม้โครงสร้างของลูกตาจะปกติดีก็ตาม

แพทย์หญิงณัฐฐิญา ลายลักษณ์ศิริ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยาเด็กและตาเข ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลพระรามเก้า อธิบายว่า “โดยปกติแล้วในช่วงแรกเกิดถึง10 ปีแรก สมองของเด็กจะเติบโตในทุกๆ ด้านรวมถึงด้านการมองเห็น การที่เด็กคนหนึ่งจะมองเห็นได้ปกติดีในช่วงอายุนี้ คือเด็กต้องมองเห็นชัด สมองถึงจะรับภาพได้ดีและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ หากมีอะไรก็ตามไปกีดขวางการพัฒนาการการมองเห็นของเด็กในช่วงวัยนี้ สมองก็จะไม่สามารถพัฒนาระบบการมองเห็นให้สมบูรณ์ ทำให้ตามองไม่ชัดทำให้เกิด โรคตาขี้เกียจ ตามมาได้ แต่หลายครั้งพบว่า กว่าผู้ปกครองจะพาเด็กจะมาพบจักษุแพทย์ก็อายุมากกว่า 10 ปีไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่า หากตรวจพบเร็วรักษาไว โอกาสหายยิ่งมีสูง ทั้งนี้ สาเหตุเป็นไปได้หลายปัจจัย อาทิ

  • ตาขี้เกียจที่เกิดจากความผิดปกติของสายตา

ภาวะที่เด็กมีสายตาผิดปกติ เช่น สั้น ยาว เอียง ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้สมองรับได้แต่ภาพที่เบลอ สมองรับรู้ว่ามองเห็นชัดสุดได้แค่นี้และไม่พัฒนาต่อ โดยอาจจะผิดปกติแค่ตาข้างเดียว หรือสองข้างก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการสายตาผิดปกติข้างเดียว อาการเหล่านี้ผู้ปกครองจะไม่รู้เลยเพราะเด็กๆ จะใช้ตาข้างที่มองเห็นชัดเป็นหลัก ทำให้เด็กไม่แสดงอาการว่ามองไม่ชัดเลย เมื่อมาพบหมอก็พบว่าค่าสายตาผิดปกติต้องได้รับการรักษา 

  • ตาขี้เกียจที่เกิดจากตาเข

หลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่า โรคตาเข คือ โรคตาขี้เกียจ แท้จริงแล้วไม่ใช่ เพราะตาขี้เกียจคืออาการมองไม่ชัดที่เกิดจากสมองพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ ส่วนตาเข คือ ตาที่มองไม่ตรง ตาเขเข้าหรือเขออก ซึ่งคนที่เป็นโรคตาเขมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นตาขี้เกียจได้ เนื่องจากตาข้างที่เหล่บ่อยๆจะมีพัฒนาการการมองเห็นที่แย่กว่าตาข้างที่ตรง

  • ตาขี้เกียจที่เกิดจากการบดบังแสงที่เข้าสู่จอตา

สาเหตุนี้เป็นชนิดที่พบน้อยที่สุด แต่มีความรุนแรงและรักษายากมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เด็กมีหนังตาตกมาก จนบังแสงให้เข้าสู่ตาได้ไม่เต็มที่ หรือเด็กมีต้อกระจกขุ่นๆบังแสงไม่ได้เข้าสู่ตาได้ตามปกติ

  • ปัจจัยความเสี่ยงในด้านอื่นๆ เช่น เด็กที่คลอดก่อนกำหนด, น้ำหนักตัวน้อยกว่าอายุครรภ์, พัฒนาการช้า, ญาติสายตรงเป็นตาขี้เกียจ(พันธุกรรม), การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น

เบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตพัฒนาการมองเห็นของลูกน้อยได้ ซึ่งเด็กที่มีพัฒนาการมองเห็นไม่ปกติตามวัย โดยทั่วไปจะมีดังนี้

  1. เด็กแรกเกิดถึง 3 เดือนแรก ควรกะพริบตาตอบสนองต่อแสงจ้าได้
  2. เด็กอายุ 3 เดือน เริ่มจ้องมอง ซึ่งมองหน้าแม่ได้ และมองตามสิ่งของ หรือของเล่นได้นิดหน่อย
  3. เด็กอายุ 6 เดือน การจ้องมอง และการมองตามสิ่งของในวัยนี้จะทำได้ดีมาก แต่ถ้าสายตาเลื่อนลอย ตาลอยไม่สบตา ไม่มองตามของตามการเคลื่อนไหวของวัตถุแนะนำให้มาพบหมอตาจะดีที่สุด
  4. เด็กที่สื่อสารได้ อาจจะบอกผู้ปกครองว่ามองกระดานไม่ชัด เวลามองต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ หรือต้องหยีตาให้มองชัด เด็กในวัยนี้ทุกคนแนะนำว่าควรมาตรวจคัดกรองการมองเห็นเพื่อตรวจหาอาการผิดปกติของค่าสายตาก่อนเข้าเรียนเสมอ
  5. หากผู้ปกครองสังเกตว่าลูกมีตาเหล่ ตาเข หรือตามองไม่ตรง แนะนำให้รีบมาพบหมอทันที
A little boy draws in the garden (outdoors). He wears glasses and an eye patch (occluder) to prevent amblyopia and strabismus (squint, lazy eye). The school students vision diseases problem.

ส่วนในการวินิจฉัยโรคนั้น จักษุแพทย์จะมีการตรวจระดับการมองเห็น โดยในเด็กที่ยังพูดสื่อสารไม่ได้ ก็จะมีเทคนิคการตรวจที่แตกต่างกันตามวัย และ ในเด็กที่สื่อสารได้แล้ว ก็จะสามารถตรวจระดับการมองเห็นได้ละเอียดมากขึ้น จากนั้นแพทย์จะหาปัจจัยเสี่ยงในการเกิดตาขี้เกียจ ตรวจตาทั้งหมดอย่างละเอียดตั้งแต่ลักษณะของเปลือกตา กระจกตา เลนส์ตา และจอประสาทตา รวมถึงค่าสายตาสั้น ยาว เอียง

สำหรับการรักษาโรคตาขี้เกียจ แพทย์หญิงณัฐฐิญา อธิบายว่า “กรณีตรวจหาสาเหตุของสายตาขี้เกียจได้แล้ว หากเด็กมีความจำเป็นต้องใส่แว่น เราจะต้องหาแว่นที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้กับเด็ก จากนั้นตรวจเช็คอาการตาขี้เกียจว่าอยู่ในระดับไหน เช่น น้อย ปานกลาง หรือมากนั้น วิธีการรักษาส่วนใหญ่เราจะปิดตาข้างที่ปกติ คือ ถ้าเป็นตาขี้เกียจข้างขวา เราก็จะปิดตาด้านซ้าย เพื่อให้ตาข้างขวาที่ขี้เกียจ หรือข้างที่สมองพัฒนาได้ช้าเพราะการมองเห็นได้ใช้งาน และให้ทำงานได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม โรคตาขี้เกียจมีโอกาสกลับมาเกิดซ้ำได้ถ้ารักษาไม่ถูกวิธี ซึ่งการรักษาด้วยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญนั้น จะปิดโอกาสความเสี่ยงที่จะเกิดโรคตาขี้เกียจซ้ำได้อีก ส่วนใหญ่หากตรวจพบในเด็กอายุน้อยๆ โอกาสก็หายไวจะมีมากกว่า กล่าวคือ เด็กเล็กที่ยิ่งเจอเร็ว รักษาได้ดี ก็จะหายขาดได้เร็วมากขึ้น

ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรประมาณครึ่งโลก หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของจำนวนประชากร มีความเสี่ยงสายตาสั้นเพิ่มมากขึ้น สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น อยู่ในอันดับที่ 2 รองจากเอเชียตะวันออก ที่คาดว่าจะมีประชากรสายตาสั้นกว่าเกือบ 70% ซึ่งจากสถิติและการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ามีความน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะในเด็กที่สายตาสั้น

ในขณะที่ ผลการดำเนินงานในปีการศึกษา 2565 กองอนามัยวัยเรียนวัยรุ่น กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขไทย สรุปจำนวนเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี 1 มีจำนวน 886,806 คน ได้รับการคัดกรองสายตาจำนวน 342,684 คน(38.64%) โดยพบความเสี่ยง 37,683 คน(11%) และได้รับแว่นตา จำนวน 18,243 คน(48.41%)

เด็กควรจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองสายตาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ก่อนจะต้องตัดแว่นอันแรกในชีวิต

แพทย์หญิงณัฐฐิญา แนะนำว่า “ผู้ปกครองควรพาเด็กเข้ารับการตรวจคัดกรองสายตาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยเฉพาะถ้าจะต้องตัดแว่นอันแรกในชีวิต ตลอดจน ควรมีการตรวจคัดกรองการมองเห็นของเด็กทุกคนก่อนเข้าเรียน หรือก่อนเข้าอนุบาลเด็กๆ ควรได้รับการตรวจสายตาก่อนเพื่อดูว่าการมองเห็นปกติหรือไม่ ซึ่งสิ่งแรกที่จักษุแพทย์จะตรวจสอบ คือ การตรวจประเมินเบื้องต้นว่าเด็กแต่ละคนมีการมองเห็นอย่างไรบ้าง โดยศูนย์จักษุโรงพยาบาลพระรามเก้า มีอุปกรณ์การตรวจตาที่มีเทคโนโลยีใหม่ คุณภาพดีมาก มีความหลากหลายและเหมาะสมในการตรวจเด็ก มีทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กโตอย่างละเอียด ซึ่งทางโรงพยาบาลจะให้ความสำคัญมากในด้านนี้ หากการคัดกรองการตรวจนั้นพบว่าคนไข้เป็นเด็กเล็กๆ ก็จะส่งต่อมาให้พบกับคุณหมอที่เชี่ยวชาญการตรวจรักษาเด็กทันที

มีเคสหนึ่งที่หมอทำการตรวจรักษา เด็กมาด้วยการตรวจเบื้องต้นสงสัยอาการสายตาสั้น 500 กว่า แต่เมื่อมาทำการตรวจรักษาและหยอดยาเพื่อเช็คค่าสายตาที่ถูกต้อง ก็พบว่าเด็กสายตาไม่สั้นเลย นั่นหมายความว่าเด็กคนนี้ไม่ได้มีสายตาสั้นจริง และเด็กคนนี้ไม่ต้องใส่แว่น หมออยากแนะนำว่าก่อนที่เด็กๆ จะได้ใส่แว่นสายตาสักอัน อยากให้คุณพ่อคุณแม่พาพบหมอตาเสียก่อน เพื่อให้เด็กได้รับการตรวจวัดค่าสายตาที่ถูกต้องและเหมาะสม

นอกจากนี้ ขอแนะนำให้ผู้ปกครอง งดเรื่องการใช้หน้าจอในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต โดยผู้ปกครองควรเสริมพัฒนาการในด้านอื่นๆ แทน อาทิ การให้เด็กออกมาสัมผัสแสงธรรมชาติ หรือ ออกมาทำกิจกรรมกลางแจ้ง(Outdoor Activities) เพราะกิจกรรมดังกล่าวไม่ได้ส่งผลดีแค่สายตาเท่านั้น แต่ยังส่งไปยังการควบคุมอารมณ์และสมาธิอีกด้วย” แพทย์หญิงณัฐฐิญา ทิ้งท้าย

Team NKT ตัวแทนจากประเทศไทย บินตรงสู้ศึก Asia Pacific Predator League 2024 รอบ Grand Finals ที่ฟิลิปปินส์

เอเซอร์ ส่งท้ายทัวร์นาเม้นต์อีสปอร์ต ด้วยการเข้าร่วมการแข่งขัน Asia Pacific Predator League 2024 รอบGrand Finals ณ SM Mall of Asia Arena ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในวันที่ 13 และ 14 มกราคม 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งแฟน ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคต่างเฝ้ารอที่จะได้เห็นการแข่งขันอันสุดแสนเร้าใจโดยที่ตั๋วเข้าชมโซน VIP กว่า 6,000 ใบ ได้ถูกขายหมดภายในเวลาเพียง 48 ชั่วโมงเท่านั้น

การแข่งขัน Asia Pacific Predator League 2024 รอบ Grand Finals เป็นการรวมตัวกันของทีมอีสปอร์ตที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากเกม Dota 2 และ VALORANT รวม 26 ทีมจากทั่วภูมิภาค เข้ามาประชันฝีมือกันเพื่อเป้าหมายในการเป็นที่หนึ่ง และท้าชิงโล่ Predator Shields พร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 70 ล้านบาท ซึ่งทีมผู้ชนะ จะได้รับรางวัลมูลค่ารวมกว่า 2,275,000 บาท, ทีมรองชนะเลิศ รับ 700,000 บาท และทีมอันดับสามและสี่ จะได้รับเงินรางวัลทีมละ 262,500 บาท รวมถึงผู้เล่น Intel MVP จะได้รับเงินรางวัลพิเศษอีก 350,000 บาท

Andrew Ho President, Pan-Asia Pacific Operations กล่าวว่า “การแข่งขันรอบ Grand Finals ในปีนี้จะไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา เสมือนเป็นการเฉลิมฉลองให้กับสปิริตของการแข่งขัน ที่เพิ่มความตื่นเต้นด้วยดนตรีและกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ เพื่อนำพาให้กลุ่มแฟน ๆ ได้มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้อีสปอร์ตที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

รายการ Predator League ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กลุ่มผู้มีความสามารถด้านอีสปอร์ต ได้เข้ามาแสดงฝีมือเพื่อเปิดโอกาสทำตามความฝันในการคว้าชัยชนะบนเวทีใหญ่ระดับภูมิภาค เช่นเดียวกับในปีนี้ ที่นอกจากแฟน ๆ จะได้สัมผัสกับการแข่งขันอันตื่นเต้นเร้าใจแล้ว ภายในงานยังเต็มไปด้วยกิจกรรมความบันเทิงจากศิลปินชั้นนำ พร้อมความสนุกสนานจากแอมบาสเดอร์ของเอเซอร์ อย่าง Sarah Geronimo และ SB19

บทสรุปของความดุเดือดในการแข่งขัน VALORANT รอบ Grand Finals ได้จบลงด้วยชัยชนะของทีมเต็ง 1 จากฟิลิปปินส์อย่าง Team Secret ที่ครองเกมเหนือทีม FAV Gaming ผู้ท้าชิงจากญี่ปุ่นอย่างเบ็ดเสร็จ ขณะที่ตัวแทนหนึ่งเดียวจากไทยอย่าง Team NKT ทำผลงานจบทัวร์นาเม้นต์ด้วยอันดับ Top 12

และปีนี้ การแข่งขันเกม VALORANT ในศึก Thailand Predator League เตรียมพร้อมเปิดรับทีมอีสปอร์ต VALORANT ทั่วประเทศไทย เข้าร่วมต่อสู้เพื่อเฟ้นหาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นตัวแทนไปชิงชัยกับเหล่ายอดทีมทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ในรายการ Asia Pacific Predator League 2025 ที่ประเทศมาเลเซีย ในปีหน้า

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการอัปเดตเกี่ยวกับ Predator League โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์อย่างเป็นทางการที่ www.predator-league.com

Work Life Balance ความสมดุลที่ลงตัวกับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) ศรีนครินทร์ -อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ

เป็นโฮมออฟฟิศที่ทำเลสุดยอดศักยภาพจริง ๆ สำหรับ “ชญาดา บิซ เพลส” (Chayada Biz Place)      ศรีนครินทร์ -อ่อนนุช  ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต สไตล์โฮมออฟฟิศ ที่ตอบโจทย์กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการความสมดุลของชีวิตด้วยทำเลที่ติดถนนเฉลิมพระเกียรติ “เทธดา อุชุปาละนันท์” กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด เผย ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) ถือเป็นทาวน์โฮมที่สร้างความสมดุลของชีวิต Work Life Balance เติมเต็มความสุขของทุกการอยู่อาศัยครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง Clubhouse , ระบบ Smart Security และ Panoramic Garden View อีกทั้งยังใกล้ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และสถานศึกษา เน้นตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลาย โดยกลุ่มลูกค้าอายุ 35-53 ปี ที่ต้องการทำงานที่บ้าน หรือทำธุรกิจ โดยออกแบบมาเพื่อผู้อยู่อาศัยได้อย่างสมดุลไม่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวและที่ทำงานลดความเหนื่อยล้า จากการเดินทาง

พบกับ “ชญาดา บิช เพลส” (Chayada Biz Place) ทาวน์โฮม แห่งใหม่บนถนนศรีนครรินทร์ -อ่อนนุช  (เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67) ได้แล้ววันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 08-3322-6677

 “ไข้เลือดออก” ครองแชมป์อันดับ 1โรคระบาดในไทยปี 66 สูง 3 เท่า มีโอกาสเป็นซ้ำได้

ไข้เลือดออก เป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทยที่พบได้ทุกปีโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน และมีสถานการณ์การระบาดของไข้เลือดออกมีแนวโน้มสูงขึ้น ข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรค กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคพบว่าจำนวนผู้ป่วยในปี 2566 มากกว่าปี 2565 ถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวล ทำให้เราควรจะตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้ เพราะแม้จะเป็นโรคที่พบได้บ่อยและผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไม่รุนแรงแต่ในผู้ป่วยบางรายก็อาจมีอาการรุนแรงจนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้

พญ.จิตรฟ้า หรูรุ่งโรจน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว ศูนย์วัคซีนและเวชศาสตร์การเดินทาง โรงพยาบาลพระรามเก้า ให้ความรู้ว่า “โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า เชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus; DENV)  ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ Dengue 1 (DEN1), Dengue 2 (DEN2), Dengue 3 (DEN3), และ Dengue 4 (DEN4) ซึ่งหากมีการติดเชื้อสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งแล้ว ร่างกายจะมีภูมิกันต่อเชื้อไวรัสเดงกีสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่น ๆ ดังนั้น ผู้ป่วยสามารถติดเชื้อสายพันธุ์อื่น ๆ และป่วยเป็นไข้เลือดออกได้มากกว่า 1 ครั้ง หากมีการติดเชื้อสายพันธุ์อื่นอีกภายหลัง ซึ่งความรุนแรงของอาการป่วยมีความแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์ที่มีการติดเชื้อ ความแข็งแรงและสุขภาพร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ ทั้งนี้สามารถพบการติดเชื้อและป่วยเป็นไข้เลือดออกได้ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กเล็ก พบมากที่สุดจะช่วงอายุ 5-14 ปี ไปจนถึงผู้สูงอายุและในช่วง 20 ปีหลังมานี้แนวโน้มการติดเชื้อไข้เลือดออกในวัยรุ่นและผู้ใหญ่มีมากขึ้นและอันตรายมากขึ้น”

ในขณะที่กรมควบคุมโรค เผยสถานการณ์โรคติดต่อที่มีการระบาดในไทยปี 2566 ที่ผ่านมา โดยจากสถิติ ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. – 13 ธ.ค. 2566 พบมีการระบาดและมีผู้ป่วย โรคไข้เลือดออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 รวม 147,412 ราย อัตราป่วย 222.91 ต่อประชากรแสนคน ผู้ป่วยสูงกว่าปีที่ผ่านมา 3.4 เท่า กระจายทั่วประเทศ และพบผู้ป่วยเสียชีวิตที่ได้รับการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ รวม 174 รายจาก 57 จังหวัด อัตราป่วยตาย 0.12 % โดยอัตราป่วยตายสูงสุดในกลุ่มอายุ 25 – 34 ปี ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังและภาวะ
อ้วน ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการในผู้เสียชีวิตพบไวรัสเดงกีทั้ง 4 สายพันธุ์ โดยพบ DENV-2 มากที่สุด รองลงมา คือ DENV-1 DENV-3 และ DENV-4 ตามลำดับ

คนเราสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้มากกว่า 1 ครั้งในสายพันธุ์ที่ต่างจากครั้งแรก

พญ.จิตรฟ้า อธิบายต่อไปว่า “ประเทศไทยพบการระบาดทั้ง 4 สายพันธุ์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจะหมุนเวียนสลับกันไปแล้วแต่ช่วงเวลา แต่สายพันธุ์ที่ 1 และ 2 เป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุด การติดเชื้อครั้งแรกส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่การติดเชื้อครั้งที่สองที่เป็นการติดเชื้อจากสายพันธุ์ที่ต่างไปจากการติดเชื้อครั้งแรก อาจมีอาการรุนแรงมากขึ้น

โดยอาการของไข้เลือดออกในช่วงเริ่มต้นมักจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไข้สูงเกิน 38.5 องศา , ปวดศีรษะ , ปวดกระบอกตา , ปวดเมื่อยตัว , คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีจุดเลือดออกตามแขน ขา ลำตัว ผู้ป่วยบางรายมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ซึ่งอาการของไข้เลือดออกในวันที่ 3-7 ของการป่วย อาจมีอาการรุนแรง ขึ้นขั้นเลือดออกผิดปกติรุนแรง เกิดภาวะช็อกและอาจเสียชีวิตได้”

แม้การป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้ยุงกัด รวมถึงการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบริเวณรอบบ้าน การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันโรคไข้เลือดออกและลดความรุนแรงของโรคได้ และในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศไทยแล้ว 2 ชนิด ซึ่งสามารถป้องกันเชื้อเดงกี(dengue virus; DENV)ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์

วัคซีนชนิดแรก (Dengvaxia®) เริ่มมีใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2560 เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ป้องกันสายพันธุ์ที่ 3 และ 4 ได้ดี แต่ป้องกันสายพันธุ์ที่ 1 และ 2 ได้ปานกลาง มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออก 65% และป้องกันการนอนโรงพยาบาลได้ 80% โดยฉีดจำนวน 3 เข็ม แต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน สามารถฉีดได้ในผู้ที่มีอายุ 6-45 ปี ที่เคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนเท่านั้น เนื่องจากพบว่าหากฉีดในคนที่ไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน มีความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น

วัคซีนไข้เลือดออกชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดใหม่ (QDenga®) มีการใช้แล้วใน 16 ประเทศทั่วโลก ได้รับการขึ้นทะเบียนให้สามารถใช้ในประเทศไทยได้ในปี 2566 เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็น สามารถป้องกันสายพันธุ์ที่ 1 และ 2 ได้ดีซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบมากและเป็นส่วนใหญ่ของประเทศไทย โดยฉีดจำนวน 2 เข็ม เว้นระยะห่างจากเข็มแรก 3 เดือน

  • สามารถฉีดได้ในผู้ที่มีอายุตั้งแต่อายุ 4-60 ปี สามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยและไม่เคยป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อน และไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดเพื่อตรวจภูมิคุ้มกันไข้เลือดออกก่อนได้รับวัคซีน
  • มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกโดยรวมได้ 80%
  • ป้องกันการนอนโรงพยาบาลจากไข้เลือดออกได้ถึง 90%

อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนการเข้ารับการฉีดวัคซีนเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัย

NocNoc ขยายหมวดสินค้า “Pets Category” เจาะกลุ่มคุณพ่อ-คุณแม่น้อน ๆสร้าง Pets Destination แหล่งช้อปแห่งใหม่ เพื่อบ้านที่เป็นมิตรกับทั้งคนและสัตว์เลี้ยง

NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ รุกตลาดสัตว์เลี้ยงรับเทรนด์ Pets Humanization ขยายหมวดสินค้าเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงรักการแต่งบ้าน ผ่าน “NocNoc Pets Category” รวมสินค้าช้อปสะดวก-ครบ-จบ-คุ้ม มากด้วยไอเดียและแรงบันดาลใจสำหรับพื้นที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับทั้งคนและสัตว์เลี้ยง พร้อมจัดแคมเปญสิทธิพิเศษให้ทั้งส่วนลดและโค้ดช้อปคุ้มไปดูแลน้องๆได้อย่างเต็มที่ ตอกย้ำความเป็น Pets Destination แห่งใหม่ที่เข้าถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกกลุ่ม พร้อมจับมือร้านค้าพันธมิตรบนแพลตฟอร์ม เดินกลยุทธ์ O2O จัดกิจกรรม NocNoc Pets Friendly ในโซนไฮไลต์คนรักสัตว์อย่างต่อเนื่อง

            นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย เป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตและกำลังซื้อที่สูงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภค Millennials ซึ่งมีการสำรวจให้เห็นถึงพฤติกรรม Pets Humanization ของคนอายุตั้งแต่ 18-34 ปี พบว่าผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงกว่า 75% ดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นลูกหรือสมาชิกในครอบครัว และมี 65% ที่ใช้เงินกับความต้องการของสัตว์เลี้ยงมากกว่าของตัวเอง

ทำให้เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับสัตว์เลี้ยงและของแต่งบ้านที่เป็น Pets Friendly ในประเทศไทยมีมูลค่าแตะกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งการเติบโตต่อเนื่องของสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงในไทยและประเทศอาเซียน คือโอกาสเปิดให้ NocNoc ได้ใช้จุดแข็งของแพลตฟอร์มที่มีสินค้าครอบคลุมกว่า 600,000 รายการ มาเพิ่ม Destination ใหม่ที่ตอบโจทย์แก่ผู้บริโภคที่รักสัตว์เลี้ยงและการแต่งบ้าน ในหมวดหมู่ “NocNoc Pets Category” โดยมีตัวเลือกสินค้าที่ช้อปสะดวก ครบ จบ คุ้ม มากด้วยไอเดียและแรงบันดาลใจเพื่อสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของทุกคน

“ปัจจุบันเทรนด์การดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงเสมือนเป็นลูกหรือคนในครอบครัวได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โฟกัสของตลาดในกลุ่มนี้เปิดกว้างและไม่ได้จำกัดอยู่แค่อาหารหรือสินค้าสุขภาพ แต่ยังรวมไปถึงการตกแต่งบ้านหรือแม้แต่โรงแรมที่พักก็ต้องมีพื้นที่สอดรับกับเทรนด์ดังกล่าว ใน NocNoc Pets Category ได้รวบรวมสินค้าที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่ม B2C และ B2B อย่าง ที่นอนสัตว์เลี้ยง ลู่วิ่ง บ้านสุนัข คอนโดแมว พรมสัตว์เลี้ยง หญ้าเทียม อุปกรณ์ของเล่น อาหารสัตว์ และของใช้อื่น ๆ รวมทั้งกลุ่มของ Pets Care อย่างบริการอาบน้ำ สปา ตัดขน และแพคเกจตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง เพื่อจะเข้าไปทำให้พื้นที่อยู่อาศัยกลายเป็นเซฟโซนที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับทั้งสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ”

ในแคมเปญ NocNoc Pets นอกจากเรื่องบ้าน…ยังมีสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงอีกเพียบให้เลือกช้อปแล้ว NocNoc ยังแจกความคุ้มให้ทุกบ้านได้ช้อปสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงที่คุณรักแบบไม่มีอั้น ช้อปครบ 3,000 บาท ลดเพิ่ม 10% สูงสุด 1,000 บาท เพียงกรอกโค้ด CACPTJ21 ช้อปครบ 10,000 บาท ลดเพิ่ม 12% สูงสุด 3,600 บาท กรอกโค้ด CACPTJ22 ช้อปครบ 30,000 บาท ลดเพิ่ม 13% สูงสุด 6,000 บาท กรอกโค้ด CACPTJ23 สะดวก ครบ จบ พร้อมบริการจัดส่งถึงหน้าบ้าน ตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 67  

ทั้งนี้ในอนาคต NocNoc ยังมีแผนตอกย้ำความเป็น Pets Destination แห่งใหม่ที่เข้าถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกกลุ่ม ด้วยการจับมือกับพันธมิตรผู้จำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์ม ดำเนินกลยุทธ์ O2O (Online to Offline) ยกคอนเซ็ปต์ เรื่องของน้อนนน…เลือกจนกว่าจะชอบ ที่ NocNoc มาจัด Activation ตั้งแลนมาร์ค NocNoc Pets Friendly ในโซนคอมมูนิตี้ไฮไลต์ที่รวมตัวของกลุ่มคนรักสัตว์ อาทิ สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงพยาบาลสัตว์ พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้เจ้าของได้ช้อปสินค้าในกลุ่ม NocNoc Pets ไปดูแลน้อง ๆ สัตว์เลี้ยงอย่างเต็มที่

“ที่ผ่านมา NocNoc มีการเพิ่มทางเลือกที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต และการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ซึ่งสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงก็เป็นอีกหนึ่งในหมวดหมู่ที่มีการขยายตัวเลือกที่มีคุณภาพ และหลากหลายมากขึ้นให้กับบรรดาคุณพ่อ-คุณแม่ของน้อง ๆ ที่ต้องอยู่อาศัยร่วมกันอย่างลงตัว โดยทุกบ้านสามารถเลือกสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยง…ได้จนกว่าจะชอบที่ NocNoc ทุกที่ทุกเวลาที่ https://bit.ly/3NTkuZX หรือโหลด NocNoc  https://bit.ly/3H2PUJu แล้วช้อปเลย” นายอนุพงศ์ เสริมทิ้งท้าย

โฮมโปร… ให้ทุกคนเปย์ของที่ถูกใจ เปิดตัวแคมเปญ โฮมเปย์ ให้ชีวิตปัง! กับ “สินเชื่อโฮมเปย์” สมัครง่าย-อนุมัติไว ใช้แค่บัตรประชาชน พร้อมผนึกกำลัง ‘กรุงศรี เจเนซิส’ อนุมัติวงเงินสูงสุด 100,000 บาท

โฮมโปร.. เปิดต้นปีใหม่ มาพร้อมกับแนวคิดใหม่ ที่อยากให้ทุกคนได้เปย์ของที่ถูกใจ ด้วยการเปิดตัวแคมเปญ โฮมเปย์ ให้ชีวิตปัง! กับ “สินเชื่อโฮมเปย์ (HomePay)” บริการวงเงินพร้อมใช้ ซื้อก่อน-ผ่อนทีหลัง (Buy Now Pay Later : BNPL) ภายใต้แนวคิด “ง่าย-ถูก-ไว” คือ ง่าย-สมัครง่าย! เพียงแค่บัตรประชาชนใบเดียว! ไม่ต้องใช้เอกสารแสดงรายได้! ผ่านช่องทางโฮมการ์ด (HomeCard) แอปพลิเคชั่น ถูก-ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.62% ต่อเดือน อัตราดอกเบี้ยปกติสูงสุดไม่เกิน 15% ต่อปี และ ไว-อนุมัติผลไวสุดใน 3 นาที เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคกลุ่มอาชีพอิสระ และทุกอาชีพที่ต้องการช้อปสินค้าได้อย่างสบายใจ สะดวกสบาย ให้สามารถผ่อนสินค้าง่ายได้ทุกชิ้น นานสูงสุด 36 เดือน ด้วยวงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 100,000 บาท โดยผนึกกำลังร่วมกับ กรุงศรี เจเนซิส เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น พร้อมให้สิทธิประโยชน์อีกมากมายตลอดปี ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 67 นี้

นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เผยว่า “โฮมโปร ตระหนักถึงความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จึงได้เอาความเชี่ยวชาญและจุดแข็งในฐานะผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ที่มีกลุ่มฐานลูกค้าขนาดใหญ่อยู่แล้ว ที่มีความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ฟอร์นิเจอร์ ที่นอน สุขภัณฑ์ และของตกแต่งบ้าน เราอยากจะเพิ่มโอกาสทางการเงินให้กับกลุ่มลูกค้าโฮมการ์ด รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพอิสระต่างๆ จึงได้ออกแคมเปญ โฮมเปย์ ให้ชีวิตปัง! กับ “สินเชื่อโฮมเปย์ (HomePay)” เป็นบริการสินเชื่อทางการเงินรูปแบบใหม่ ที่จะเข้ามารองรับทุกๆ การใช้จ่ายของคนไทยจำนวนมากที่มีรายได้ แต่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ ไม่มีบัตรเครดิต เพียงแค่ใช้บัตรประชาชนใบเดียว! ในการสมัครผ่านโฮมการ์ด (HomeCard) แอปพลิเคชั่น ทุกๆ การใช้จ่ายแต่ละเดือนของลูกค้าก็จะง่ายขึ้น คล่องตัวมากขึ้น ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ทุกอาชีพ คุ้มค่าทั้งในแง่ดอกเบี้ย หรือระยะเวลาผ่อนชำระ จึงร่วมมือกับ กรุงศรี เจเนซิส ร่วมกันพัฒนาและออกผลิตภัณฑ์ ‘สินเชื่อโฮมเปย์ (HomePay)’ ขึ้นมา”

นางสาวพัทธ์หทัย กุลจันทร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในฐานะตัวแทนบัตรเครดิตและสินเชื่อในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ กล่าวว่า “นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกัน โดยกรุงศรี เจเนซิส ภายใต้การบริหารของบริษัทอยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซสจำกัด ในเครือกรุงศรี คอนซูมเมอร์ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินคุณภาพ จะดูแลเรื่องการให้บริการด้านสินเชื่อ โดยร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง อย่าง ‘โฮมโปร’ ที่เป็นผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านและที่อยู่อาศัย เรามีความเชื่อมั่นว่า “สินเชื่อโฮมเปย์ (HomePay)” ซึ่งเป็นบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ โดยเป็นสินเชื่อ ซื้อก่อน-ผ่อนทีหลัง ผลิตภัณฑ์แรกที่ให้บริการสำหรับลูกค้าโฮมโปร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับลูกค้าในวงกว้าง ด้วยรูปแบบการสมัครสินเชื่อผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มทางการเงิน โดยใช้วิธีพิจารณาสินเชื่อด้วยข้อมูลทางเลือกโดยผู้สมัครต้องยินยอมให้เข้าถึงข้อมูล จึงทำให้ใช้งานง่าย ทำธุรกรรมสะดวกทุกที่ทุกเวลา รวมถึงรักษาข้อมูลส่วนบุคคลอย่างปลอดภัยทุกขั้นตอน ให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดถึง 100,000 บาท ผ่อนสบายนานสูงสุด 36 เดือน เพียงเลือกสินค้าและสแกนผ่อนสินค้า ที่โฮมโปรและเมกาโฮม กว่า 100 สาขาทั่วประเทศ สมัครง่ายๆ ผ่านแอปพลิเคชั่นโฮมการ์ด (HomeCard) และ UCHOOSE อนุมัติไวสุดใน 3 นาที  รวมถึงยังสามารถชำระเงินคืนได้ง่ายๆ ผ่าน Mobile Banking ทุกธนาคารด้วย QR Code โดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ จะช่วยยกระดับโซลูชั่นทางการเงินที่ตอบสนองความต้องการของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบันได้อย่างเต็มรูปแบบ

“โฮมโปรตั้งเป้าให้บริการ ‘สินเชื่อโฮมเปย์ (HomePay)’ เข้ามาเป็นตัวช่วยสนับสนุนผู้บริโภคลดภาระการใช้เงินสด และช่วยสร้างชีวิตที่ดีขึ้นผ่านการใช้จ่ายที่สะดวกสบาย อีกทั้งโฮมโปรยังช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้ผู้บริโภคมีชีวิตปังตลอดปี 2567 นี้ ด้วยการมอบโปรโมชั่นผ่านสินเชื่อโฮมเปย์ อาทิ คูปองส่วนลดพิเศษ, พิเศษดอกเบี้ย 0% เดือนแรกสำหรับผู้สมัครใหม่ รวมถึงสิทธิประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่จะเพิ่มเข้ามาให้ช้อปของถูกใจเข้าบ้านได้ตลอดปี เริ่มสมัครพร้อมรับความคุ้มได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2567” นางสาวเสาวณีย์ กล่าว

ฉลอง “วันเด็กแห่งชาติ 13 มกราคม 67 ตรวจภูมิแพ้ไร้ฝุ่นสำหรับหนูๆ ฟรี!!” ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า

โรงพยาบาลพระรามเก้า ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคยากซับซ้อนและการดูแลสุขภาพก่อนป่วยมากว่า 31 ปี ร่วมต้อนรับ “วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567” ขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่จูงมือน้องๆ หนูๆ ร่วมกิจกรรมพิเศษ “Happy Children’s Day วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2567”

รับฟัง!! ถอดรหัสวิธีสังเกตอาการโรคภูมิแพ้ในเด็กที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ จากกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อม บริการ ให้คำปรึกษาโรคภูมิแพ้ในเด็กฟรี ผ่าน Telemedicine เพียงเพิ่มเพื่อนบนไลน์ @praram9v หรือปรึกษาแพทย์ออนไลน์ คลิกเลย https://bit.ly/skintestpr9v (รับจำนวนจำกัด 10 ท่านเท่านั้น)

รับของขวัญพิเศษ บริการตรวจฟรี ทดสอบภูมิแพ้ไร้ฝุ่นให้กับเด็กๆ จำนวน 50 ท่าน เพียงสแกน QR Code รับสิทธิ์ พร้อมรับบัตรคิวหน้างาน ได้ที่ศูนย์กุมารเวชกรรม ชั้น 10 อาคาร B
ในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 10.00 น.

พลาดไม่ได้ วันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 เวลา 09.00 – 10.00 น. วันเดียวเท่านั้น! ณ ศูนย์กุมารเวชกรรม ชั้น 10 อาคาร B โรงพยาบาลพระรามเก้า

ซูเลียนจัดงานใหญ่ “พิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณพร้อมประดับเข็มเกียรติยศ” ประจำเดือนมกราคม 2567

   

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานประชุมใหญ่ และพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณประดับเข็มเกียรติยศแก่นักธุรกิจซูเลียน ประจำเดือนมกราคม 2567 งานนี้ได้รับเกียรติจาก ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด แถลงนโยบายในปี 2567 กับบรรดานักธุรกิจซูเลียน พร้อมรับฟังความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพโดยคุณแวว – แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการและนักกำหนดอาหาร  พิเศษสุด! ฟรีคอนเสิร์ตจาก “เปา – เปาวลี” นักร้องสาวเสียงไพเราะมากความสามารถ และพบกับกิจกรรมพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ในวันเสาร์ – อาทิตย์ ที่ 13 -14 มกราคม 2567 ณ ห้อง Zhulian Royal Grand Ballroom บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด

“กรุ๊ปบีเบียร์ x Superdry” ชวนสัมผัสอีเว้นต์พิเศษของคนรักคราฟต์เบียร์ไทย ที่ Popup Store @Siam Discovery ถึง 31 ม.ค. 67 นี้

“กรุ๊ปบีเบียร์” เขย่าวงการเบียร์ลุยภารกิจรันวงการคราฟต์เบียร์ไทยครั้งใหม่ Collaboration กับแบรนด์อินเตอร์ ‘Superdry’ จัดอีเว้นต์สุดพิเศษต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข ณ Popup Store @Siam Discovery ชวนคนรักคราฟต์เบียร์ไทยปลดปล่อยความสร้างสรรค์กับแฟชั่น The Super Tote / Patch แบรนด์คราฟต์เบียร์ไทย และไอเทม Limited Edition ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2567 พร้อมเชื่อเป็นการผลักดันครั้งสำคัญให้งานคราฟต์เบียร์เข้าไปอยู่ในมิติของความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ต่อยอดสร้างการเติบโตในตลาดที่กว้างกว่าเดิม

            นางสาวประภาวี เหมทัศน์ กรรมการบริหาร บริษัท กรุ๊ปบี จำกัด เปิดเผยว่า ระยะเวลา 6 ปีที่บริษัทฯ เริ่มต้นบุกเบิกตลาดคราฟท์เบียร์ไทยผ่านการจัดจำหน่าย การกระจายสินค้า รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดในรูปแบบอีเว้นต์หรือการประกวดต่าง ๆ ได้เป็นส่วนสำคัญที่สร้างการเติบโตกับให้กับกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยและอุตสาหกรรมในภาพรวม และยังมีส่วนช่วยให้ภาพลักษณ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับภาพของความเป็นไลฟ์สไตล์ กลายเป็นเรื่องที่มีความใกล้กันมากขึ้นด้วย โดยที่ผ่านมา มีทั้งแบรนด์ที่เป็นศิลปะและไลฟ์สไตล์ที่สนใจร่วมงานกับคราฟต์เบียร์ไทยจำนวนมาก

ซึ่งในช่วงเทศกาลแห่งความสุขของคนไทย กรุ๊ปบีจะร่วมกับแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ชั้นนำ อย่าง ‘Superdry’ ในการจัดกิจกรรมพิเศษขึ้นใน Popup Store ที่ Siam Discovery โดยมีสินค้าพิเศษอย่าง ‘The Super Tote’ ชุดสินค้าที่มีความโดดเด่นด้านการจัดจำหน่ายกระเป๋าและ Patch คู่กัน โดยในแคมเปญนี้จะเปิดพื้นที่ให้คนรักคราฟต์เบียร์ไทย ได้สัมผัสกับความสนุกสนานและได้มาปลดปล่อยความสร้างสรรค์ เลือกหา Patch ผลิตเฉพาะจาก Superdry และแบรนด์คราฟต์เบียร์ไทยหลากหลายแบบ แล้วมา DIY สร้างแฟชั่นเพียงหนึ่งเดียวในโลกได้เลย

นอกจากนี้ยังมีสินค้า Limited Edition ระหว่าง Superdry และแบรนด์คราฟต์เบียร์ต่าง ๆ ในเครือของกรุ๊ปบีอีกมากมาย ให้ได้จับจองเป็นของขวัญในช่วงโปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึง 31 มกราคม 2567 ซึ่งสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Social Media: Group B Beer และ Superdry Thailand

“แต่เดิมด้วยความที่ Superdry เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Collaboration ร่วมกับศิลปินหรือไอคอนิกแบรนด์ในประเทศอยู่แล้ว ประกอบกับฝั่งบริหารมีวิสัยทัศน์ที่สนใจและให้การสนับสนุนผลิตภัณฑ์คราฟต์เบียร์ไทยเป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด รวมถึงในโอกาสที่ Popup Store ใน Siam Discovery ตั้งใจสร้างความแปลกใหม่และความคึกคักในพื้นที่รับช่วงปลายปีนี้ จึงเกิดเป็นความร่วมมือกันกับกรุ๊ปบี เพื่อจะนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ของคราฟต์เบียร์ไทยที่เข้าถึงได้ในมิติของความเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์มากขึ้น และความร่วมมือนี้ยังตอบโจทย์กับเป้าหมายของกรุ๊ปบี ในการผลักดันให้แบรนด์คราฟต์เบียร์ไทยมีความเป็นสากลมากขึ้นด้วย” นางสาวประภาวี กล่าว

ทั้งนี้ ในปัจจุบันหลายภาคส่วนเริ่มมองเห็นมุมมองใหม่ ๆ ของตลาดคราฟต์เบียร์ไทย รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงานคราฟต์รายย่อยอื่น ๆ ในแง่มุมที่มากไปกว่าการดื่ม การสังสรรค์ หรือแม้แต่กับการต่อสู้ทางกฎหมาย นั่นคือมิติของความเป็นงานศิลปะ, ความเป็นไลฟ์สไตล์ และโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งทำให้ทิศทางการดำเนินงานของกรุ๊ปบีในอนาคต นอกจากจะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตให้ตลาดคราฟต์เบียร์ไทยในแง่ของตัวเลขหรือส่วนแบ่งการตลาดแล้ว ยังจะมุ่งเน้นสร้างการเติบโตในแนวราบไปพร้อมกันด้วย

“คราฟต์เบียร์ไทยในพอร์ทของกรุ๊ปบี มีผลิตภัณฑ์คุณภาพที่บริษัทฯ ดูแลและผลักดันอยู่ร่วมสิบแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น ผีบอก แซนพอร์ต ยอดเบียร์ และอื่น ๆ ที่เติบโตมากับวงการคราฟต์เบียร์ไทยตั้งแต่ยุคแรก รวมทั้งยังมีแบรนด์น้องใหม่และกลุ่มตลาดสุราชุมชนที่กำลังดำเนินการผลักดันอยู่อีกเป็นจำนวนมาก นั่นหมายถึงในอนาคต สินค้าเหล่านี้จะสามารถเข้าไปอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ช่วยสร้างรายได้ให้คนจำนวนมากขึ้น เห็นได้จากความร่วมมือกับแบรนด์แฟชั่นที่เกิดขึ้นแล้วในครั้งนี้

“ตลอดจนในปีหน้า กรุ๊ปบีจะเริ่มพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายที่สนใจนำคราฟต์เบียร์ไทยไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และต่อยอดกลยุทธ์ Collaboration ร่วมกับแบรนด์ที่มองเห็นศักยภาพของคราฟต์เบียร์ไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าหากภาครัฐเห็นศักยภาพตรงจุดนี้ ก็มีโอกาสที่จะแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายให้การทำธุรกิจคราฟต์เบียร์ดำเนินการได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน” นางสาวประภาวี กล่าวทิ้งท้าย

ไดกิ้น เตรียมก้าวเข้าสู่ปีที่ 100 เทงบเปิดไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่า “fuha : SIAM”เผยโฉมนวัตกรรม-เทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศ หนุนสร้างแบรนด์และความมั่นใจแก่คู่ค้า

ไดกิ้น ทุ่มงบเปิดไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่าแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “fuha : SIAM เดินหน้ายกระดับสู่ศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีระบบปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียโอเชียเนีย พร้อมนำเสนอองค์ประกอบเครื่องปรับอากาศแบบเข้าใจง่ายแก่ประชาชน สร้างความเชื่อมั่นแบรนด์แก่พันธมิตรทางธุรกิจในวาระครบรอบ 100 ปี

นายไดสุเกะ มุราคามิ ประธาน บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยนับว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของ “ไดกิ้น” เป็นอย่างมาก โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ มีการเติบโตที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์การใช้งานแก่ผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มให้ดีที่สุด ล่าสุดบริษัทฯ ยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเปิดไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่าแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ “fuha : SIAM” ศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีระบบปรับอากาศและเป็นแหล่งความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านระบบปรับอากาศแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางย่านสยาม เขตปทุมวัน ซึ่งนับว่าเป็นย่านการค้าสำคัญและแลนด์มาร์คที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ด้วยแนวคิด “Perfecting the Air for All” ปรับทุกอากาศให้สมบูรณ์แบบส่งต่อความสุขให้กับทุกคน

สำหรับการเปิดไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่าแห่งใหม่ดังกล่าว เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลและความรู้เรื่องของเครื่องปรับอากาศ เพราะแท้จริงแล้วในเครื่องปรับอากาศหนึ่งเครื่อง จะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ผู้บริโภคหรือคนทั่วไปอาจยังไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งองค์ประกอบเหล่านั้นล้วนแต่เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้กลายมาเป็นเครื่องปรับอากาศ โดยบริษัทฯ ได้จำลองความรู้ทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ให้ประชาชนหรือผู้เข้าชมตลอดจนนักเรียนนักศึกษาสามารถเข้าใจได้ง่าย รวมถึงยังสามารถประยุกต์เป็นสื่อทางการศึกษาที่ทุกคนจะมีโอกาสได้สัมผัสและเรียนรู้จริงตลอดการเข้าชมศูนย์นวัตกรรมแห่งนี้ ซึ่งจะเป็นอีกทางหนึ่งให้คนไทยสามารถเข้าใจและเข้าถึงแบรนด์ไดกิ้นได้อีกด้วย

“ในฐานะผู้ที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศมาเป็นระยะเวลากว่า 100 ปี ส่วนสำคัญที่เราได้ทุ่มเทพัฒนามาอยู่ตลอดคือเรื่องของนวัตกรรม จากประสบการณ์ที่มีมาอย่างยาวนาน บริษัทฯ
จึงมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า และพร้อมให้คำปรึกษาให้ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศสำหรับที่อยู่อาศัย สำนักงาน หรือเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า “ไดกิ้น” พร้อมดูแลและเป็นพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคหรือพาร์ทเนอร์ทางการค้า การมี ไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่า “fuha : SIAM”  นับว่าตอกย้ำองค์ประกอบที่ไดกิ้นได้ให้ความสำคัญมาต่อเนื่อง และจะถูกยกระดับให้กลายเป็นศูนย์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีระบบปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียโอเชียเนีย” นายไดสุเกะ กล่าว

นอกจากนี้ ภายในไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่าแห่งนี้ ยังมีโซน Co-working Space และ Meeting Room
ที่ออกแบบโดยให้ความสำคัญในเรื่องของสี เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเปิดกว้างสำหรับพันธมิตรได้กิ้นในการใช้พื้นที่สำหรับจัดกิจกรรม สัมมนาได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการมี ไดกิ้น โซลูชั่นพลาซ่า “fuha : SIAM” ศูนย์นวัตกรรมการเรียนรู้เพื่อทุกคน จะทำให้คนทั่วไปเข้าใจถึงเครื่องปรับอากาศในเชิงลึก โดยสามารถเรียนรู้ข้อมูลต่าง ๆ จากผู้มีประสบการณ์จริงของ
ไดกิ้นขณะเดียวกันพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจยังสามารถสัมผัสผลิตภัณฑ์จริงโดยมีวิศวกรผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาในศูนย์ฯ แห่งนี้ ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งของการสร้างความเชื่อมั่นแก่คู่ค้าในเรื่องผลิตภัณฑ์คุณภาพจาก
ไดกิ้นที่สามารถสัมผัสด้วยมือและเห็นกับตาของพาร์ทเนอร์เองภายในศูนย์ฯแห่งนี้ ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างทันสมัย ตอบโจทย์ตลาดมากที่สุด

นายไดสุเกะ กล่าวอีกว่า การให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมและความยั่งยืน นับเป็นหนึ่งในพันธกิจที่บริษัทฯ ยึดมั่นมาตลอดการดำเนินธุรกิจ ผ่านการมอบคุณค่าใหม่ให้กับโลกผ่านทางอากาศและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด Perfecting the Air for All” ปรับอากาศให้สมบูรณ์แบบ ส่งมอบการอากาศที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นผลดีต่อโลก เราคาดหวังว่าพื้นที่นี้จะช่วยส่งเสริมความตั้งใจนั้น และ ผลิตภัณฑ์ของไดกิ้นจะช่วยสร้างความสุข รอยยิ้มให้คนที่คุณรัก สุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรง เพื่อความสุขของทุกๆ คน