ไดกิ้น เปิดตัว “MAX Inverter Star Series” ในเครื่องปรับอากาศซีรีย์ใหม่ 5 รุ่น ไดกิ้น เปิดตัว “MAX Inverter Star Series” ในเครื่องปรับอากาศซีรีย์ใหม่ 5 รุ่น ดึง “ณเดชน์-บิวกิ้น” ร่วมถ่ายทอดปรากฏการณ์อากาศสมบูรณ์แบบ-คุ้มค่าเต็ม MAX ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

            ไดกิ้น พาคนไทยร่วมสัมผัสกับปรากฏการณ์ดาวดวงใหม่แห่งความคุ้มค่า “Daikin MAX Inverter Star Series ปรากฏการณ์คุ้มอย่าง MAX” กับการต่อยอดที่สุดแห่งเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์ ให้ความคุ้มแบบเต็ม MAX ผ่านผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง 5 รุ่นใหม่ และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ SKY AIRโดยเปิดตัวรับซัมเมอร์ 2024 นี้ ชูความโดดเด่นด้วย 4 ฟังก์ชัน ประหยัดไฟ-เย็นเร็ว-ทนทาน-ทำงานเงียบ ขยายระยะเวลารับประกัน 5 ปีเต็มสำหรับเครื่องปรับอากาศติดผนัง Series Y ทุกรุ่น ผ่าน 2 พรีเซ็นเตอร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ คู่ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ร่วมถ่ายทอดปรากฏการณ์สร้างอากาศสมบูรณ์แบบเพื่อคนทุกคนผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

            นายไดสุเกะ มุราคามิ ประธานบริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศแบรนด์
“ไดกิ้น” เปิดเผยว่า “ปี 2023 เป็นปีที่สุดยอดเทคโนโลยีจากไดกิ้นอย่าง Max Inverter ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถในการสร้างอากาศสมบูรณ์แบบที่ตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้บริโภค ทำให้ในปี 2024 นี้ ไดกิ้นเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยี Max Inverter ในปีที่ 2 ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Daikin MAX Inverter Star Series ปรากฏการณ์คุ้มอย่าง MAX’ ชวนมาค้นพบที่สุดของเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์จากไดกิ้น ที่ประหยัดไฟ เย็นเร็ว ทนทาน ทำงานเงียบ พร้อมชูความคุ้มค่าแบบเต็ม MAX ประหยัดไฟสูงสุด 5 ดาว ตามมาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ที่เริ่มใช้ในปี 2024 รวมถึงต่อยอดการสื่อสารให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงความคุ้มค่าในทุกมิติ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ได้พรีเซ็นเตอร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ ประกบคู่กับ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล เพื่อถ่ายทอดการทำงานของนวัตกรรมปรับอากาศ 5 รุ่นใหม่ ที่พร้อมสร้างปรากฏการณ์ดาวแห่งความคุ้มค่าดวงใหม่เพื่อคนทุกคน”

            สำหรับในปีนี้ ไดกิ้นได้มุ่งเน้นความสำคัญของการลงทุนยกระดับในด้านเทคโนโลยี เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการอากาศคุณภาพของผู้บริโภคในทุกช่วงเวลา รวมถึงมีการพัฒนาให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล ในเนื้อหาด้านการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและความยั่งยืนตามมาตรฐานใหม่ของภาครัฐ หรือ ‘มาตรฐานประหยัดไฟเบอร์ 5 / 5 ดาว’ จนกลายเป็นที่มาของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Daikin MAX Inverter Star Series’ ซึ่งเตรียมเปิดตัวต้อนรับช่วงซัมเมอร์ปี 2024 นี้ รวม 5 รุ่น

ได้แก่ KZ Star Series, KM Star Series, KC Star Series, KF Star Series และ KQ Star Series โดยจุดเด่นของ
ซีรีย์นี้จะอยู่ที่ฟังก์ชันหลัก ทั้ง 4 จากเทคโนโลยี Max Inverter คือประหยัดไฟ-เย็นเร็ว-ทนทาน-ทำงานเงียบ สอดแทรกความคุ้มค่าที่เหนือกว่าด้วยค่า SEER หรือค่าประสิทธิภาพพลังงานที่อยู่สูงกว่าเกณฑ์ทั่วไปในทุก ๆ รุ่น โดยเฉพาะ
ไฮไลต์อย่าง KZ Star Series ที่มีค่า SEER สูงสุดถึง 26.50 และครั้งแรกกับรุ่นเริ่มต้นอย่าง KQ Star Series ที่มาพร้อมฉลากประยัดไฟเบอร์ 5 แบบ 1 ดาว

คุ้มค่า ประหยัดไฟอย่าง MAX ด้วย รุ่นใหม่ล่าสุด ประหยัดไฟสูงสุด เบอร์ 5 ในระดับ 5 ดาว ประหยัดไฟกว่าเดิมสูงสุด 13,377 บาทต่อปี*

  • คุ้มเร็ว เย็นไวอย่าง MAX เย็นเร็วทันใจใน 1 นาที ด้วยเทคโนโลยี High Speed Swing Compressor
  • คุ้มนาน ทนอย่าง MAX ด้วยเทคโนโลยี Super PCB Pro แผงวงจรที่ทนทานต่อไฟกระชากและการรบกวนจากสัตว์ รวมถึงวัสดุคอยล์ที่ทนต่อการกัดกร่อน
  • คุ้มชิล เงียบอย่าง MAX เสียงเงียบทั้งตัวเครื่องภายในและภายนอก

ในส่วนของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ SKY AIR ปีนี้ ยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5
ในระดับ5 ดาวที่ครอบคลุมมากที่สุดในท้องตลาด ทนทานยืดอายุการใช้งานด้วย CAZ Coil วัสดุพิเศษจากไดกิ้น
ทนการกัดกร่อนจากไอเกลือทะเล การันตีความทนจากศูนย์เทคโนโลนยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ อีกทั้งยังมีความสวยงามลงตัวในการออกแบบและติดตั้ง

“กลยุทธ์การทำงานในปี 2024 นี้ ไดกิ้นยังคงยึดมั่นในแนวคิด Perfecting the Air for All เพราะสิ่งสำคัญคือเราเชื่อมั่นว่าอากาศที่สมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่คู่ควรกับคนทุกคน นั่นจึงทำให้ทั้งแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการสื่อสารของ Daikin MAX Inverter Star Series Phenomenon ผ่าน 2 พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นตัวแทนของคนทุกเจเนอเรชั่น
ก็เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดภาพจำว่าไดกิ้นได้เดินทางมาถึงอนาคตที่เทคโนโลยีในมือสามารถสร้างอากาศที่สะอาดที่สุด
ดีที่สุด และพร้อมที่จะส่งต่อความสมบูรณ์แบบนี้ไปถึงคนรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคตด้วย

“อีกทั้งในปีนี้ เรายังได้ขยายการรับประกันเพื่อสร้างความสุขส่งต่อให้ผู้บริโภค โดยผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังรุ่นใหม่ รหัส Series Y จะขยายระยะเวลารับประกันเป็น 5 ปีเต็มทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน ทั้งในส่วนของคอมเพรสเซอร์, แผง PCB, แผงคอยล์เย็น และแผงคอยล์ร้อน CAZ Coil” นายไดสุเกะ เสริมทิ้งท้าย

โฮมโปร เบิ้ลความคุ้มรับต้นปี !! จัดใหญ่ “DOUBLE SALE 2.2”ลดแรง 5 วันเต็ม ตั้งแต่ 1-5 ก.พ. 67 นี้ ทุกสาขาและออนไลน์

โกยความคุ้มค่าฉลองยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปี ..ช้อปดีเดย์ 5 วันเต็ม 1 กุมภาพันธ์ – 5 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ ที่ โฮมโปร กับโปรลดแรงแบบดับเบิ้ล! ‘HOMEPRO DOUBLE SALE 2.2’ เอาใจสายแต่งบ้านช้อปเพลินสารพัดไอเทมใหม่แกะกล่อง และสินค้าเรื่องบ้านลดจุใจทุกแผนก พร้อมความพิเศษที่เดียวที่นี่! ขนสิทธิประโยชน์จัดเต็มแบบเบิ้ลๆ มีให้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น

  • ดับเบิ้ลส่วนลด สูงสุด 16% !! ลดแรก..สมาชิกโฮมการ์ด ลดเพิ่มสูงสุด 13% (เมื่อช้อปเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นที่ร่วมรายการ) ลดสอง..สมาชิกบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลดทันที 3% ตั้งแต่บาทแรก
  • ดับเบิ้ลรับเงินคืน เข้าโฮมโปร วอลเล็ต สูงสุด 9,000 บาท !! ต่อแรก..สมาชิกโฮมการ์ด ช้อปครบ 50,000 บาท/ใบเสร็จ รับเงินคืนสูงสุด 1,000 บาท ต่อสมาชิกตลอดรายการ (จำกัด 1,500 สิทธิ์/ตลอดรายการ) ต่อสอง..สมาชิกบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม รูดช้อปเต็มจำนวนตามเงื่อนไข รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 8,000 บาท
  • ดับเบิ้ลใช้คะแนนลดเพิ่ม สูงสุด 23% !! ต่อแรก..ใช้คะแนนโฮมการ์ด 1,000 คะแนน แทนส่วนลด 100 บาท ต่อสอง..แลกคะแนนบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม เท่ายอดซื้อ ลดเพิ่ม 13%
  • ดับเบิ้ลสิทธิพิเศษ !! สิทธิ์แรก..กดรับเลย คูปองส่วนลด 300 บาท ผ่าน @HomePro Line Connect (เป็นส่วนลดเมื่อช้อป 6,000 บาทขึ้นไป) เฉพาะวันที่ 2-4 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น สิทธิ์สอง..สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตและบัตรสินเชื่อ จากสถาบันการเงินที่ร่วมรายการ รับสิทธิ์ผ่อนแรง 0% นานสูงสุด 24 เดือน

พลาดไม่ได้ !! ช้อปคุ้มค่ากับ DOUBLE SALE 2.2 แล้วอย่าลืมต่อเนื่องเบิ้ลความคุ้มต่อ #ยิ่งใช้ยิ่งได้ กับโครงการ “Easy E-Receipt” รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท (ตามที่จ่ายจริงสำหรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) ได้ทั้งช่องทางออนไลน์และหน้าร้าน ที่โฮมโปรทุกสาขา ทั่วประเทศ

#HomeProDoubleSale #HomePro #homeprothailand #โฮมโปร #เรื่องบ้านโฮมโปรคือคำตอบ #Homepropr

PDPA Center พร้อมเปิดบริการแล้ววันนี้ คลายความกังวล เพิ่มความอุ่นใจในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

 “กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม” โดย PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) เปิดทำการศูนย์บริการ รับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA Center) อย่างเป็นทางการพร้อมมอบรางวัลเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดีเด่น

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานใน พิธีเปิดศูนย์บริการ รับเรื่องร้องเรียน และให้คำปรึกษาการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA Center) และมอบรางวัลเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดีเด่น ซึ่งจัดขึ้นโดย PDPC หรือ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างครบวงจร ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและตอบสนองความต้องการให้กับทุกภาคส่วน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มช่องทางการติดต่อให้กับประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ในการติดต่อมายัง PDPC ได้อีกหนี่งช่องทาง 

การบริการที่ครบวงจรใน PDPA Center ประกอบไปด้วย

1. ศูนย์บริการให้คำปรึกษาและตอบข้อหารือเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA

2. ศูนย์บริการการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย PDPA

3. ศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC Eagle Eye)

4. ศูนย์บริการความรู้และวิชาการด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

5. ศูนย์ประสานงานสำหรับเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) และให้คำแนะนำหลักการกำกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

6. ศูนย์ขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

7. ศูนย์ส่งเสริมและผลักดันการใช้มาตรฐานการคุ้มครองข้อมูลส้วนบุคคล

อันจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนผู้รับบริการได้อย่างเต็มที่ ศูนย์บริการ PDPA Center แห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าซึ่งจะทำให้การเดินทางหรือติดต่อประสานงานเป็นไปโดยสะดวก ซึ่งการให้บริการอย่างครบวงจรจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนได้โดยตรง

“เรื่องของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งผมได้กำหนดแนวทางและมาตรการยกระดับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ โดยให้ PDPCดำเนินการแบบเชิงรุก และจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล PDPC Eagle Eye เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบ และกำกับดูแล หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด และป้องปราม ไม่ให้หน่วยงานเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนโดยไม่เหมาะสมบนช่องทางสาธารณะ หากตรวจพบหน่วยงานมีการทำผิดอย่างต่อเนื่องและมีผลกระทบร้ายแรง ก็จะต้องมีลงโทษ มีการปรับทางปกครองอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย PDPA ซึ่งในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ได้มีการตรวจสอบเชิงรุก มีการสกัดการรั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคลไปแล้วกว่า 5,000 เคส และร่วมตรวจสอบเพื่อขยายผลสู่การจับกุมผู้ต้องหาซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว 5 ราย

นอกจากนี้ ผมได้สั่งการให้เข้มงวด เรื่องของการป้องกันและปราบปรามการลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนโดยมิชอบ ซึ่งที่ผ่านมา PDPC ได้ประสานความร่วมมือกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ตำรวจไซเบอร์) ในการสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษอย่างเด็ดขาดแล้วหลายราย อีกทั้งผมจะเสนอให้มีการปรับแก้กฎหมาย PDPA เพื่อเพิ่มบทลงโทษกับผู้ที่ลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลโดยมิชอบ ให้มีโทษทางอาญาที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก และมีความเด็ดขาด ยอมความไม่ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการป้องปรามไม่ให้เกิดการลักลอบซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนไปสู่กลุ่มมิจฉาชีพ ซึ่งผมจะผลักดันให้มีการนำเรื่องปรับแก้กฎหมายเข้าสู่สภาอย่างเร่งด่วนต่อไป” นายประเสริฐ กล่าวสรุปในตอนท้าย

PDPA Center หรือ ศูนย์บริการรับเรื่องร้องเรียน และให้คำปรึกษา การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในเวลา 8.30 – 18.00 ทุกวัน เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ชั้น 1 อาคารศูนย์บริการ NT2 ถ.แจ้งวัฒนะ สามารถค้นหาใน Google Map ได้ด้วยค้นหาคำว่า PDPA Center หมายเลขโทรศัพท์ศูนย์บริการฯ 02 027 8852

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” จัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 ร่วมจับมือพันธมิตรสำคัญ ผลักดันผู้ประกอบการไทยฟื้นสู่เวทีโลก

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย  จับมือพันธมิตร แถลงข่าวร่วมกันจัดงาน “Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024” (JGAB 2024) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนพื้นที่กว่า 22,000 ตร.ม. โดยงานนี้เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลก คาดปีนี้จะมีผู้ซื้อคุณภาพทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย จากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ร่วมผลักดันผู้ประกอบการกลุ่มอัญมณีเครื่องประดับไทยฟื้นกลับสู่เวทีโลก ด้วยการสนับสนุนจากมาตรการ “SME ปัง ตังได้คืน” โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้การดำเนินงานของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย  โดยมี นายอภิชิต ประสพรัตน์  รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานสถาบัน วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) นางประพีร์ สรไกรกิติกูล ประธานคณะกรรมการสมาคมกลุ่มอัญมณีเครื่องประดับโลหะมีค่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นายวิบูลย์ หงษ์ศรีจินดา ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายสุทธิพงษ์ ดํารงค์สกุล นายกสมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน นายสิทธิศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง นายกสมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย และ นายมงคล มณีสินธพ นายกสมาคมช่างทองไทย ร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรม โซ แบงคอก เมื่อเร็วๆ นี้

“โฮมโปร x เมกาโฮม” แจกรางวัลใหญ่รถยนต์ ‘ISUZU SPACECAP’ พร้อมแสดงความยินดีกับผู้โชคดี จากแคมเปญร่วมฉลองครบรอบแบบยิ่งใหญ่

โฮมโปร x เมกาโฮม จัดแคมเปญ “ร่วมฉลองครบรอบแบบยิ่งใหญ่” ครบรอบ 27 ปี โฮมโปร และ 10 ปีเมกาโฮม แจกรางวัลใหญ่รถยนต์ ISUZU SPACECAP 1.9 DA M/T จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 635,000 บาท พร้อมแสดงความยินดีกับสมาชิกโฮมโปรผู้โชคดีจากสาขาภูเก็ต

นายวิเชียร เจียมวิจิตรกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด พร้อมคณะบุคลากรจาก ‘โฮมโปร’ และ ‘เมกาโฮม’ ร่วมส่งมอบความสุขรับต้นปี 2567 ด้วยการจับรายชื่อและประกาศผลผู้โชคดีจากแคมเปญ “ร่วมฉลองครบรอบแบบยิ่งใหญ่” ที่จบแคมเปญไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2566  โดยได้มอบรางวัลใหญ่รถยนต์ ISUZU SPACECAP 1.9 DA M/T จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 635,000 บาท ให้กับผู้โชคดี ‘คุณชาญชัย ส่งตระกูล’ สมาชิกโฮมโปร สาขาภูเก็ต

สำหรับการแจกรางวัลภายใต้แคมเปญ “ร่วมฉลองครบรอบแบบยิ่งใหญ่” นับเป็นการคืนกำไรครั้งใหญ่ที่โฮมโปรและเมกาโฮม ตั้งใจมอบเป็นของขวัญในโอกาสครั้งพิเศษผ่านโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์สำหรับสมาชิกโฮมการ์ด อาทิ ส่วนลดสินค้าเรื่องบ้าน, สิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 24 เดือน, สิทธิ์ลุ้นของรางวัล ฯลฯ ซึ่งได้มีการแจกของรางวัลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเทศกาลส่งท้ายปี 2566 โดยโฮมโปรได้ทำการแจกรางวัลสร้อยคอทองคำหนัก 1 สลึง มูลค่า 8,750 บาท (ราคาทองคำ ณ วันที่ 17 ต.ค. 66) ให้กับผู้โชคดีที่เป็นสมาชิกโฮมการ์ด จำนวน 100 รางวัล รวมถึงการมอบรางวัลใหญ่ในครั้งนี้ รวมมูลค่าของรางวัลทั้งสิ้นกว่า 1,510,000 บาท

“ร่วมฉลองครบรอบแบบยิ่งใหญ่” เป็นแคมเปญที่ลูกค้าของโฮมโปรและเมกาโฮมให้การตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนได้จากจำนวนยอดขายและสิทธิ์การร่วมลุ้นรางวัล ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจนเกินเป้าที่ตั้งไว้ นับว่ากิจกรรมคืนกำไรครั้งใหญ่นี้ เป็นสัญญาณที่ดีของการเริ่มต้นเข้าสู่ปีใหม่ ของโฮมโปร และเมกาโฮม ที่ทั้งสององค์กรจะให้ความมุ่งมั่นสร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ตลอดทั้งปี 2567 นี้ เพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับบริษัทตลอดมา”

พบกับกิจกรรมและสิทธิประโยชน์พิเศษแบบนี้ได้ เพียงกดติดตาม FB: HomePro Thailand (https://www.facebook.com/homeprothailand) และ FB: เมกาโฮม ถูก ดี ครบ จบทุกงานช่าง (https://www.facebook.com/MegahomeCenter?locale=th_TH) ช้อปง่ายๆ สินค้าและบริการคุณภาพ ที่โฮมโปรและเมกาโฮม ทุกสาขาใกล้บ้าน

“ซูเลียน” จัดงานใหญ่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 27 พร้อมมอบใบประกาศเกียรติคุณ และประดับเข็มเกียรติยศแก่นักธุรกิจซูเลียน

ซูเลียน (ประเทศไทย) ตอกย้ำผู้นำธุรกิจขายตรง ก้าวเข้าสู่ปีที่ 27 ภายใต้สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ ราคาได้มาตรฐาน เดินหน้าจัดพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณและประดับเข็มเกียรติยศแก่นักธุรกิจซูเลียน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนทำงาน และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการเพิ่มศักยภาพ เพื่อการต่อยอดสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน

            ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานกรรมการ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลอด 26 ปีที่ผ่านมา ซูเลียนเป็นผู้นำธุรกิจขายตรงในตลาดสินค้ากลุ่มอุปโภค ที่ครอบคลุมทั้งในประเทศไทย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศเมียนมาร์และกัมพูชา ซึ่งเป็นฐานสมาชิกหลักของนักธุรกิจซูเลียนในภูมิภาคอาเซียน ที่มีสมาชิกรวมกันกว่า 5.4 ล้านคน โดยภายใต้แบรนด์ ‘ซูเลียน’ ได้รวบรวมสินค้าที่มีคุณภาพไว้มากมาย อาทิ กาแฟโสม ยาสีฟัน เครื่องดื่มชนิดผง และสินค้าอื่น ๆ อีกหลากหลายชนิด เพื่อจำหน่ายและส่งต่อสุขภาพที่ดีไปถึงมือผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้วางรากฐานการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญต่อความขยัน อดทน ซื่อสัตย์ และยึดมั่นในคุณธรรมของการทำธุรกิจ จนเครือข่ายนักธุรกิจของซูเลียนมีการเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง รวมถึงสามารถสร้างยอดขายและกำไรที่ยั่งยืน

            สำหรับในปี 2567 นี้ ซูเลียนได้ก้าวเข้าสู่การทำงานพร้อมความท้าทายในการสร้างนักธุรกิจหน้าใหม่ที่มีศักยภาพ ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในปีที่ 27 นี้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับชาวซูเลียนที่เติบโตร่วมกันมาโดยตลอด บริษัทฯ ได้จัดพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณและประดับเข็มเกียรติยศ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยงานในครั้งนี้ มีผู้บริหารและนักธุรกิจซูเลียนเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง และบรรยากาศภายในงานยังเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น พร้อมความสนุกสนานจากเสียงเพลงที่ขับร้องโดยศิลปิน “เปา – เปาวลี” รวมถึงกิจกรรมเสริมสร้างความรู้เพื่อการทำธุรกิจในเนื้อหาของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ โดย “คุณแวว – แววตา เอกชาวนา” นักโภชนาการและนักกำหนดอาหารมืออาชีพ “การมอบใบประกาศเกียรติคุณและประดับเข็มเกียรติยศแก่นักธุรกิจซูเลียน เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้คนทำงานเพื่อนำไปเป็นแรงผลักเพิ่มศักยภาพของตัวเอง และยังเป็นการเปิดโอกาสใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดทางธุรกิจต่อไป ที่สำคัญงานครั้งนี้ยังนับเป็นการประชุมนโยบายและทิศทางของบริษัทฯ เพื่อการทำงานที่มั่นคงในปีที่ 27 ของซูเลียน ซึ่งเรายังคงให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นแนวคิดและการลงมือทำภายในเครือข่ายนักธุรกิจ ที่จะนำเอาประโยชน์ของสินค้าไปบอกต่อกับผู้บริโภคให้ครอบคลุม ไม่เกินจริง และมีจรรยาบรรณ อย่างที่เราดำเนินการมาตลอด 26 ปี” ดร.ปิยะวัฒน์ กล่าวย้ำทิ้งท้าย

เปิดประตูสู่อาเซียน – บุกเบิกตลาดที่หลากหลายและเติบโต กับมหกรรมสินค้าแม่และเด็กแห่งอาเซียน

เตรียมตัวให้พร้อมแล้วพบกับการกลับมาของ Kind + Jugend ASEAN (คินอันยูเก้น อาเซียน) งานแสดงสินค้านานาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์และของใช้จำเป็นสำหรับแม่และเด็กแห่งภูมิภาคอาเซียน ภายใต้ธีม “Taking A Leap Forward” แสดงถึงความมุ่งมั่นในการพาคุณก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยภายในงานมีการเปิดตัวสินค้าเชิงนวัตกรรม และไอเดียสุดล้ำ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทั้งด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย และความเป็นอยู่ที่ดีของแม่และเด็กสมัยใหม่

โดยมหกรรมสินค้าแม่และเด็กแห่งอาเซียน Kind + Jugend ASEAN 2024 ปีนี้ จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 25-27 เมษายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) บริเวณใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียนที่ผ่านการปรับปรุงสถานที่ใหม่ล่าสุดมาเพื่อรองรับความสะดวกสบายด้านการเดินทาง พร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมงานและนักธุรกิจต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกไว้ด้วยกัน

สำหรับงาน Kind + Jugend ASEAN 2024 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานถึง 4,000 คน เพื่อมาเจรจาธุรกิจกับผู้จัดแสดงสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำทั่วภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก อาทิ สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, จีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เกาหลีใต้, เยอรมนี, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา และอีกมากมาย ภายในงานยังมอบประสบการณ์การสัมมนาที่เติมเต็มด้วยความรู้ อัปเดตเทรนด์โภชนาการสำหรับเด็กแรกเกิด แนวทางการแก้ปัญหาด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่ สำรวจโอกาสในตลาดสินค้าแม่และเด็ก อีกทั้งการเติบโตและการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ

ปัจจุบันพ่อแม่ในกลุ่มประเทศอาเซียนเริ่มตระหนักและใส่ใจเรื่องสุขภาพ โภชนาการ และความปลอดภัยของลูกมากขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันให้ตลาดมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับสินค้าที่ทำจากส่วนผสมธรรมชาติ ปลอดสารเคมี บรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน สามารถใช้ซ้ำ ไม่เป็นขยะหรือสารเคมีต่อโลก จากแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภคปัจจุบัน ทำให้ปีนี้ ภายในงานประกอบไปด้วยไฮไลต์ต่าง ๆ อาทิ Trend Forum, Business Matching/Hosted Buyer Programme, VIP Tour, Kind + Jugend ASEAN Innovation Award

ในฐานะงานแสดงสินค้านานาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์และของใช้จำเป็นสำหรับแม่และเด็กแห่งภูมิภาคอาเซียน ครั้งที่ 2 Kind + Jugend ASEAN (คินอันยูเก้น อาเซียน) มีความภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรอย่าง หอการค้าไทย (TCC) สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ (THTI) สมาคมการค้าของเล่นและผลิตภัณฑ์เด็กไทย (TTCPA) สมาคมของเล่นและการเล่นแห่งเอเชีย (ATPA) องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSM) สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม (NFI) คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (AHSCU) และโรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ (SISB) เราพร้อมแล้วที่จะได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับคุณในวันที่ 25-27 เมษายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) กรุงเทพฯ ประเทศไทย ลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าได้แล้ววันนี้ที่ https://mobile.eventpassinsight.co/registration/create/kja24/?code=2024

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” จัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 ร่วมจับมือพันธมิตรสำคัญ ผลักดันผู้ประกอบการไทยฟื้นสู่เวทีโลก พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการ SME เข้าร่วมงาน ด้วยเงินอุดหนุนสูงสุด 80% ต่อราย

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย” จับมือพันธมิตร กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการค้ากลุ่มอัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน สมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี และสมาคมช่างทองไทย ร่วมกันจัดงาน “Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024” (JGAB 2024) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บนพื้นที่กว่า 22,000 ตร.ม. โดยงานนี้เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลก คาดปีนี้จะมีผู้ซื้อคุณภาพทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย จากกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ร่วมผลักดันผู้ประกอบการกลุ่มอัญมณีเครื่องประดับไทยฟื้นกลับสู่เวทีโลก ด้วยการสนับสนุนจากในมาตรการ “SME ปัง ตังได้คืน” โดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ภายใต้การดำเนินงานของ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีนโยบายส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ผ่านระบบ BDS หรือ Business Development Service ที่ต้องการขอรับการสนับสนุนเพื่อออกงานแสดงสินค้า JGAB 2024 ด้วยเงินอุดหนุน 80% หรือสูงสุดถึง 200,000 บาทต่อราย

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ด้วยเครือข่ายผู้ซื้อที่มีคุณภาพจากทั่วโลกของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เราเป็นผู้จัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ อันดับ 1 ของโลก โดยมีงานทั่วโลกกว่า 30 งาน และเป็นผู้จัดงาน Jewellery & Gem WORLD Hong Kong (JGW) ส่งผลให้การจัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok ครั้งแรกในปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จและผลักดันให้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าใกล้ความเป็นศูนย์กลางตลาดอัญมณีโลกอย่างเป็นรูปธรรม”

โดยในปีนี้ “อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย” ได้ร่วมมือกับ กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมการค้ากลุ่มอัญมณีเครื่องประดับและโลหะมีค่า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอาเซียน สมาคมผู้ส่งออกเครื่องประดับเงินไทย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สมาคมผู้ค้าอัญมณี และเครื่องประดับจันทบุรีและสมาคมช่างทองไทย จัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024” (JGAB 2024) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยงานนี้เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั่วโลกทั้งกลุ่มผู้ซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ค้าปลีก ผู้ค้าส่ง ผู้ผลิต รวมถึงนักออกแบบจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีงานสัมมนาจากผู้ค้าอัญมณีทั่วโลกอีกด้วย

การจัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok นอกจากจะเป็นเวทีสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะเจรจาธุรกิจกับผู้เข้าชมงาน และผู้ประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ยังเป็นเวทีในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอัญมณีและเครื่องประดับ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยโดยฝีมือคนไทย (Made in Thailand) ให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ โดยการจัดงานครั้งนี้คาดการณ์ผู้เข้าร่วมงานรวมกว่า 600 คูหา จาก 15 ประเทศ โดยมีผู้ประกอบการผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับชั้นนำ อาทิ จีน ฮ่องกง อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น โปแลนด์ สิงคโปร์ ตุรกี และคาดการณ์ผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 10,000 ราย จากกลุ่มประเทศในอาเซียน จีน อินเดีย และอีกกว่า 75 ประเทศทั่วโลก

ภายในงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 ประกอบไปด้วยโซนที่น่าสนใจ อาทิ Fine Jewellery (เครื่องประดับอัญมณี) Gold Jewellery (ทองและเครื่องประดับทอง) Silver Jewellery (เงินและเครื่องประดับเงิน) Platinum (แพลทินัม) Gemstone (พลอยและเครื่องประดับพลอย) Loose Diamonds (เพชรและเครื่องประดับเพชร) Pearls (ไข่มุกและเครื่องประดับมุก) Equipment & Tools (อุปกรณ์และเครื่องมือ) และกลุ่ม Manufacturing & Packaging (ผู้ผลิตและบรรจุภัณฑ์) โดยจะมีผู้เข้าร่วมออกงานแสดงสินค้าจากต่างประเทศมากกว่า 30%

นายสรรชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย ระหว่างเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 13,664.59 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 5.73 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยเป็นสินค้าส่งออกในอันดับที่ 3 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.22 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย แต่หากหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่าการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 8,101.45 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.51 เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกเฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 958.24 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตสูงถึงร้อยละ 10.27 เทียบกับเดือนเดียวกันในปี 2565 และหากหักมูลค่าการส่งออกทองคำแล้ว พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 708.44 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.98 (ข้อมูลอ้างอิง: https://infocenter.git.or.th/th/article/article-20240108)

การมีส่วนร่วมในงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 (JGAB 2024) เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่ต้องการเติบโตและขยายธุรกิจไปสู่ตลาดสากล ขอเชิญผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจเข้าร่วมงาน JGAB 2024 เลือกทำเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ จองบูธได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/46J3xIO หรือโทร 063-796-5464 คุณฐิติมา

NocNoc จบปี 66 สุดปัง! ยอดขายโตแกร่ง 100% กางแผนปี 67เดินหน้าทรานส์ฟอร์มสู่ Home and Living Destination ด้วย AIพร้อมชู Home Solution ดันยอดโต 40%

NocNoc ปลื้มยอดขายจบปี 2566 โตกระฉูดกว่า 100% เปิดเกมบุกปี 2567 ตั้งเป้า 6,500
ล้านบาท เดินหน้าทรานส์ฟอร์มสู่ Home and Living Destination อย่างเต็มตัวด้วย AI และ Platform Technology ชู Home Solution เสริมทัพความครบครันแบบ One Stop Service ตั้งแต่การสร้างแรงบันดาลใจ การเลือกซื้อสินค้า การบริการติดตั้งและการดูแลรักษา ในทุกพื้นที่การใช้ชีวิตด้วยประสบการณ์พิเศษเฉพาะตัวของลูกค้า (Personalized Experience) พร้อมเน้นการเติบโตที่สร้างคุณค่าให้กับลูกค้า และร้านค้าอย่างแท้จริง

นางชลลักษณ์ มหาสุวีระชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของ NocNoc ในปี 2566 ที่ผ่านมา ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วยการมียอดขายเติบโตแบบก้าวกระโดดกว่า 100% โดยปัจจัยหลักมาจากการเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มต่างๆ ได้กว้างและลึกมากขึ้น รวมทั้งการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและพาณิชย์ โดยเฉพาะออนไลน์

NocNoc เริ่มต้นจากการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อการอยู่อาศัย ในปี 2562 ด้วยความเชื่อว่ามาร์เก็ตเพลสเป็นโมเดลที่จะช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายได้มาพบเจอกัน โดยลูกค้าสามารถเลือกสินค้าและบริการเรื่องบ้านเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยากจะมีบ้านที่ฝันได้จริง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมทั้งขนาดใหญ่และเล็ก ก็จะสามารถพบกับลูกค้าที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการของตัวเองได้ ในปีนี้ NocNoc
มีเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้นในการเป็น Home and Living Destination ที่พร้อมจะช่วยให้ทุกคนในอาเซียน เติมเต็มทุกพื้นที่ในการใช้ชีวิตได้อย่างที่ฝัน
ด้วยการช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้าตั้งแต่การสร้างแรงบันดาลใจ การหาไอเดีย การเลือกสินค้าและบริการที่ตรงใจ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในแต่ละไลฟ์สไตล์

“เป้าหมายของ NocNoc ไม่ใช่การดำเนินธุรกิจเพื่อทำกำไรในระยะสั้น หรือเอาชนะใคร แต่ NocNoc ต้องการดูแลและสนับสนุนทั้ง Ecosystem ตั้งแต่ ลูกค้า ผู้ขาย ช่าง ผู้ออกแบบ ผู้จัดส่ง รวมถึงพันธมิตร
ในอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยมีปัจจัยหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ NocNoc เติบโต และดูแล Ecosystem ได้ตามเป้าหมาย คือ คน ชาว NocNoc มีความฝันเดียวกันที่อยากให้ NocNoc เติบโตเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคนใน Ecosystem เราดูแลคนด้วยความเชื่อใจ (Trust) โดยเชื่อว่า การใช้ศักยภาพที่เขามีจะช่วยให้ NocNoc ได้รับความเชื่อใจจากทุกคนใน Ecosystem เช่นกัน เทคโนโลยี เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าใน Home and Living  Sector ซึ่ง NocNoc ได้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างมีประสิทธิผลมาแล้ว และจะลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีชั้นนำอย่างต่อเนื่อง ในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ขาย ทั้งในด้านประสิทธิภาพของแพลตฟอร์ม และการใช้ AI ”  นางชลลักษณ์ กล่าว

ด้านนายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี
มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ
NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ กล่าวว่า กลยุทธ์หลักของ NocNoc ในปี 2567 จะมุ่งสู่การทำการตลาดแบบ Personalized Experience หรือการสร้างประสบการณ์ที่ดีแบบเฉพาะตัว ซึ่งยังคงยึดลูกค้าเป็นหลักในการทำธุรกิจ โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ NocNoc เป็นกลุ่มที่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก มีอายุระหว่าง 25-45 ปี แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มลูกค้าตามหัวเมืองใหญ่ของไทย ก็มีศักยภาพเช่นเดียวกัน เห็นได้จากการเติบโตของภาคธุรกิจที่ขยายตัวไปยังหัวเมืองต่างๆ ในทุกปี ทำให้เกิดดีมานด์เพิ่มขึ้น  

แนวทางในปี 2567 นี้ NocNoc พยายามที่จะสร้างความโดดเด่นและน่าสนใจให้กับสินค้าเรื่องบ้านที่มีอยู่ผ่าน Inspiration and Idea โดยเฉพาะในเรื่องของการนำสินค้าเรื่องบ้านมาจัดแสดงในรูปแบบต่างๆ (Roomscene InspiREALtion) เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพว่าหากซื้อสินค้าเหล่านี้แล้วจะถูกจัดวางในบ้านของตัวเองอย่างไร เพราะ NocNoc อยากให้การซื้อสินค้าแต่ละครั้งของลูกค้ามาจากความต้องการอย่างแท้จริง
หรือมองเห็นแล้วว่าไอเดียการจัดวางบ้านแบบไหนที่ตัวเองชอบ หรือเหมาะกับการตกแต่งบ้านของตัวเองมากที่สุด รวมถึงการเดินหน้าขยายช่องทางให้ลูกค้าได้เข้าถึงสินค้าและบริการเรื่องบ้านได้หลากหลายมากขึ้นจากออนไลน์สู่ออฟไลน์ (Omni Channel) ผ่านงาน NocNoc Fair และ Pop-up Store เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการสัมผัสสินค้าจริง ทั้งยังได้ไอเดียของการตกแต่งบ้านจากงานดังกล่าวทางหนึ่งด้วย

“ที่ผ่านมาเราประสบความสำเร็จในออนไลน์เป็นอย่างมาก แต่พอหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ผู้คนต่างกลับเข้ามาใช้ชีวิตออฟไลน์กันมากขึ้น ทำให้ NocNoc เข้าถึงลูกค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าในกลุ่ม Home and Living และยังเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ช่วยให้ NocNoc สามารถสร้างแบรนด์ได้อย่างเต็มรูปแบบมากยิ่งขึ้นด้วย” นายอนุพงศ์ กล่าว

และเพื่อตอกย้ำการเป็น Home and Living Destination ที่ช่วยให้ทุกเรื่องของการอยู่อาสัย กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกๆ คน และตอบโจทย์ทุกสเตจพื้นที่การใช้ชีวิตของลูกค้าตั้งแต่การหาไอเดีย ซื้อบ้านใหม่ ตกแต่งบ้าน รวมถึงรีโนเวทบ้านแบบครบจบที่เรา Home Solution จะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ไฮไลต์ที่ถูกผลักดันเพื่อเสริมแกร่งมากยิ่งขึ้นในปี 2567 นี้  ที่ผ่านมา NocNoc มีสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับบ้านที่หลากหลายอยู่แล้ว แต่ปีนี้จะมีการเพิ่มบริการที่ปรึกษาสำหรับคนรักบ้าน ด้วยเหตุที่ว่าอาจจะมีลูกค้าบางกลุ่มยังไม่รู้ว่าต้องหาสินค้าแต่งบ้านให้เหมาะกับบ้านได้อย่างไร หรืออยากได้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ ช่วยเลือกสินค้าและบริการให้เหมาะสมกับความต้องการ ซึ่ง Home Solution จะเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ และไม่ใช่เพียงแค่แนะนำสินค้าเรื่องบ้านเท่านั้น แต่ยังนำเสนอไอเดีย ดีไซน์ในการออกแบบบ้าน พร้อมบริการงานช่าง และการันตีทุกงานบริการให้ลูกค้าแบบ One Stop Service อีกด้วย

การขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ B2B (Business-to-business) เพื่อตอบรับความต้องการของผู้ประกอบการทุกกลุ่มธุรกิจทั้งรายย่อยและรายใหญ่ให้ได้สินค้าและบริการตกแต่งธุรกิจตามความต้องการในสไตล์ที่ใช่
แบบ One Stop Service และการผนึกกำลังกับพันธมิตรทางการค้า ทำให้ในปี 2567 NocNoc จะสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจ Online to offline ให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น  ผ่าน NocNoc for Business ทั้งให้ความรู้
และช่วยนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับธุรกิจ (Business Solution) ทั้งการออกแบบ การเลือกสินค้าและบริการให้เหมาะกับการเปิดร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม และออฟฟิศ ต่างๆ รวมทั้งการดึงผู้ขายที่เป็นพาร์ทเนอร์เข้าร่วมทำโปรโมชั่นพิเศษในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นผลดีแก่ผู้ขายและกลุ่มลูกค้าทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งมีแผนที่จะไปทั้งหมด 8 จังหวัด คือ เชียงใหม่ ชลบุรี ภูเก็ต โคราช ขอนแก่น อุดรธานี สงขลา และระยอง

 ขณะเดียวกันจะเห็นได้ว่าช่วงหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 สิ้นสุด ผู้บริโภคไม่ได้ใช้ชีวิตแค่เพียงที่พักอาศัยหรือบ้านของตัวเองอีกต่อไป แต่ยังไปทำกิจกรรมอื่นนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการไปออกกำลังกาย เข้าร้านกาแฟ หรือแม้แต่เดินทางท่องเที่ยว ทำให้หมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องเหล่านี้เติบโต NocNoc จึงขยายสินค้าในกลุ่มไลฟ์สไตล์ เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ตลาดในแต่ละช่วงมากขึ้น แม้ว่าปัจจุบันจะมีสินค้ามากกว่า 600,000 รายการ พันธมิตรร้านค้าอีกกว่า 6,000 รายแล้ว แต่ก็มองว่ายังมีสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการรีโนเวทหรือปรับปรุงที่พักอาศัย รวมถึงกลุ่มอื่นๆ อาทิ สินค้าสำหรับแม่และเด็ก
ที่ได้เริ่มเข้ามาเติมเต็มแล้ว และกลุ่มสัตว์เลี้ยงที่เป็นเทรนด์เติบโตมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การเติมเต็มสินค้าอื่นๆ เข้ามาเพิ่มจะช่วยเพิ่มการซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มได้ เดิมทีลูกค้าอาจจะตั้งใจมาซื้อแค่เฟอร์นิเจอร์ แต่พอเห็นสินค้ากลุ่มไลฟ์สไตล์ด้วย ก็จะซื้อสินค้าในหมวดอื่นๆ ช่วยให้มีประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีขึ้น ครบทุกความต้องการเรื่องบ้านและการใช้ชีวิต “โจทย์ของ NocNoc คือการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เพราะการตกแต่งบ้านสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามอารมณ์ และความต้องการ ซึ่งการมีสินค้าและบริการที่ครบจบในที่เดียว จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจเข้ามาซื้อสินค้าบนแพลตฟอร์มของ NocNoc ซ้ำอย่างต่อเนื่อง”

อย่างไรก็ดี  ภายหลังจากเปิดเกมบุกการทำตลาดแบบ Personalized Experience ขยายฐานลูกค้าในต่างจังหวัดแถบหัวเมืองใหญ่มากขึ้น ขยายหมวดหมู่สินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค รวมถึงการเสริมความแข็งแกร่งผ่าน Home Solution แล้วก็มั่นใจว่าในปี 2567 นี้ NocNoc จะมียอดขายเติบโตขึ้น 40% หรือคิดเป็น 6,500 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตที่สูงกว่าภาพรวมตลาดมาร์เก็ตเพลสและช่องทางค้าปลีกดั้งเดิม
และพร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มสู่ Home and Living Destination ได้อย่างแท้จริง นายอนุพงศ์ กล่าวปิดท้าย

โฮมโปร คว้ารางวัล สุดยอดองค์กรมูลค่าแบรนด์สูงสุด“Thailand’s Top Corporate Brands” 3 ปีซ้อน

นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เข้ารับรางวัล Thailand’s Top Corporate Brands 2023 ในหมวดพาณิชย์ ที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุด 140,118 ล้านบาท ประจำปี 2023 จาก  ศ. ดร. วิเลิศ ภูริวัชร คณบดี
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ภายในงาน “ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2023” จัดโดยคณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย และสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์โฮมโปร ให้เป็นที่ยอมรับกับลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ ความสำเร็จมุ่งมั่นพัฒนาแบรนด์องค์กรมาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเป้าหมายธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

รางวัล Thailand’s Top Corporate Brands ที่โฮมโปรได้รับในฐานะสุดยอดองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงที่สุดในหมวดพาณิชย์ ถือเป็นความสำเร็จที่บ่งบอกถึงการดำเนินงานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัท ที่มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าและบริการเรื่องบ้าน เคียงข้างคนไทยมาจนทุกวันนี้ สร้างความแตกต่างของสินค้า และบริการ
เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ได้รับประสบการณ์บริการพิเศษอย่างดีเยี่ยม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจไปกับความยั่งยืน ส่งผลให้ได้รับรางวัลสุดยอดองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์สูงสุดในครั้งนี้

ซึ่งรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เป็นผลจากการทำวิจัยเรื่อง การวัดมูลค่า และการจัดอันดับแบรนด์องค์กรใน ASEAN และประเทศไทย ประจำปี 2023 ของหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการแบรนด์ และการตลาด ภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้สร้างเครื่องมือวัดมูลค่าแบรนด์องค์กร หรือ CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation) ซึ่งจะคำนวณมูลค่าแบรนด์องค์กรในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนออกมาเป็นตัวเลขทางการเงิน สามารถสื่อสาร และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และสาธารณชน ช่วยชี้ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาองค์กรสะท้อนถึงความสำเร็จของการพัฒนาแบรนด์องค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม