ไดกิ้น จับมือ “เด็นโซ่” เซ็น MOU ติดตั้งโซลูชั่นอากาศสะอาด พร้อมร่วมแรงสร้างความยั่งยืน สู่เป้าหมายสูงสุด Net Zero ปี 2050

นายอะคิโนริ อะตาราชิ ประธานกรรมการ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด  พร้อมด้วย
นายไดสุเกะ มุราคามิ ประธาน บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด และ ดร.ธีระวัฒน์ ลิมปิบันเทิง ประธานกรรมการ บริษัท สยาม เด็นโซ่ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด  ร่วมลงนาม MOU ในงาน “DAIKIN x DENSO DRIVING THE SUSTAINABILITY FORWARD” ติดตั้งโซลูชั่นระบบปรับอากาศในพื้นที่ทำงานของบุคลากร ด้วยนวัตกรรมอากาศสะอาดที่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ พร้อมช่วยสานปณิธานด้านความยั่งยืน จากการร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความตระหนักให้สังคมร่วมแรงรักษาสิ่งแวดล้อม วางเป้าหมายระยะยาว ดำเนินงานสององค์กร  ณ อาคารสยามปทุมวันเฮ้าส์ ชั้น 5 เมื่อเร็วๆนี้

ฝ่าวิกฤต PM 2.5 ภัยร้าย ทำลายปอดคนไทย พบหลายพื้นที่ค่าเกินมาตรฐาน มีผลกระทบต่อสุขภาพ

ดูเหมือนว่าขณะนี้ประเทศไทยเราโดยเฉพาะกรุงเทพฯและเขตปริมณฑล กำลังเผชิญวิกฤตฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นมลพิษทางอากาศ ที่มักมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเพราะอนุภาคเหล่านี้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ดวงตาของมนุษย์จะมองเห็น แต่อาจสามารถมองเห็นได้ในบางสถานการณ์ และ แม้ว่าเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่ามิได้หมายความว่าไม่มีมลพิษอยู่ในอากาศ

แพทย์หญิงมัณฑนา สันดุษฎื อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ และ เวชบำบัดวิกฤตโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าววว่า ฝุ่นจิ๋ว PM2.5 (particulate matter, PM) เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ รวมถึงไฟป่า และไม่ได้เป็นแค่ฝุ่นธรรมดา แต่คือฝุ่นขนาดเล็กมากที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตร (เส้นผมของคนเรามีหน้าตัด 50 ไม่โครเมตร แปลว่าฝุ่นจิ๋วนี้ต้องอยู่เรียงกัน 20 ตัวถึงจะมีขนาดเท่าหน้าตัดเส้นผมเรา 1 เส้น) ซึ่งเกินกว่าที่เราจะมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าเป็นผงฝุ่น มนุษย์จะเห็นเพียงอากาศที่คล้ายมีหมอกๆ มัวๆ และเล็กมากพอที่จะไม่ถูกดักจับโดยกลไกการดักจับฝุ่นเบื้องต้นของร่างกายเรา ทั้งขนจมูก ทั้งเมือก ที่อยู่ในระบบทางเดินหายใจ

ฝุ่นจิ๋วนี้สามารถผ่านลงหลอดลมและปอดเราเข้าไปได้ง่ายดาย และเล็กมากพอที่จะเข้าไปในหลอดเลือด และกระตุ้นในเกิดการอักเสบในที่ต่างๆ ทั้งระบบทางเดินหายใจ ระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยฝุ่นจิ๋วพวกนี้มันมักจะมีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดตัวมันมาด้วย ทั้งสารเคมีที่เป็นสารโลหะหนัก เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายเรา ซึ่งนอกจากจะทำลายระบบทางเดินหายใจ ยังพบว่า PM2.5 ยังสร้างความเสียหายต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงระบบต่อมไร้ท่อ ทำให้เพิ่มอัตราการเกิดโรค และการกำเริบของหอบหืด ถุงลมโป่งพอง รวมถึงมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อีกด้วย”

โดยข้อมูลจาก World Health Organization Thailand ระบุว่า ผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก ขึ้นอยู่กับระดับการรับสัมผัส และระยะเวลาที่รับสัมผัส อย่างไรก็ตามแต่ละบุคคลอาจมีความอ่อนไหวต่อผลกระทบด้านสุขภาพจากฝุ่นละอองขนาดเล็กแตกต่างกันไป การรับสัมผัสฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ในระยะสั้นมักก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น การระคายเคืองดวงตา จมูกและลำคอ การไอ และการติดเชื้อทางเดินหายใจสวนล่างเฉียบพลันลึกลงไปถึงปอด

ในขณะที่ ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศประเทศไทย รายงานว่า (ข้อมูลเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2567) ภาพรวมปริมาณ PM2.5 ในประเทศไทยพบเกินค่ามาตรฐาน โดย กรุงเทพมหา  นครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ. ร่วมกับ​ ​กทม. พบเกินค่ามาตรฐาน 2 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 12.4 – 40.3 มคก./ลบ.ม.

แพทย์หญิงมัณฑนา กล่าววต่อไปว่า ปัจจุบันมีการศึกษามากมาย พบข้อมูลตรงกัน ว่าคุณภาพอากาศที่ไม่ดี มีปริมาณ PM2.5 เกินมาตรฐานเพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งปอดได้จริง ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะป้องกันตัวเองจาก PM2.5 ด้วยการ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรม outdoor ในกรณีคุณภาพอากาศไม่ดี PM2.5 เกินค่ามาตรฐาน แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้แนะนำให้ใส่หน้ากาก N95 เพื่อกรอง PM2.5 ให้ได้มากที่สุด หรือ ควรปิดประตูและหน้าต่างเพื่อป้องกันไม่ให้ละอองฝุ่นจากภายนอกเข้ามาในบ้าน

นอกจากนี้ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปอด เราก็ควรจะคัดกรองโรคมะเร็งปอดอย่างเหมาะสม การคัดกรองมะเร็งปอดที่ดีที่สุด แนะนำการทำ low dose CT screening lung (LDCT) เพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปอดอย่างละเอียด โดย การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดแบบ Low dose CT screening lung (LDCT) คือ ตรวจปอดโดยละเอียด ด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ปริมาณรังสีต่ำ สามารถฉายออกมาเป็นภาพสามมิติที่ให้ความละเอียดมากกว่าการเอกซเรย์ธรรมดา ทำให้สามารถคัดกรองโรคมะเร็งปอดได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อนำไปสู่โอกาสรักษาหายได้มากกว่า” แพทย์หญิงมัณฑนา กล่าวทิ้งท้าย

ท่านสามารถศึกษาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกับศูนย์โรงพยาบาลออนไลน์ หรือ Praram9V ได้ทุกที่ผ่านทางวิดีโอคอล (Telemedicine) ได้ที่ ID Line : @praram9v หรือ  คลิก https://lin.ee/euA1bAcรือโทร. 1270 หรือ www.praram9.com  / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital และทาง Facebook: Praram9 Hospital โรงพยาบาลพระรามเก้า HEALTHCARE YOU CAN TRUST เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospital

รพ.พระรามเก้า มอบของขวัญ จัดแคมเปญยักษ์รับปีมังกร “ลดจุกๆ 70% : แพ็กเกจตรวจสุขภาพ ในเดือนเกิด” ตลอดปี 67 ในคอนเซ็ปต์ “วันเกิดทั้งที อยากให้คุณมีสุขภาพดีไปนานๆ”

โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดแคมเปญยักษ์รับปีมังกร “Package Happy Birthday Program” โปรแกรมตรวจสุขภาพสุด Exclusive ในคอนเซ็ปต์ “Happy Birthday วันเกิดทั้งที เราอยากให้คุณมีสุขภาพดีไปนานๆ” รับสิทธิ์ 2 ต่อ ต่อที่1 รับส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพ 70 % เพียง 1,999 บ.
จัดเต็ม 13 รายการตรวจ พร้อมรับของขวัญวันเกิดกลับบ้านฟรี ต่อที่2 ควงเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวรับสิทธิ์ส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ในราคาเดียวกันสูงสุดถึง 2 ท่าน เอกสิทธิ์พิเศษด้านสุขภาพเพื่อมอบเป็นของขวัญเกิดสำหรับผู้ที่มาใช้
บริการตรวจสุขภาพในเดือนเกิดของท่านตลอดทั้งปี 2567 พร้อมการดูแลเป็นพิเศษดุจคนในครอบครัวจากโรงพยาบาลพระรามเก้า อุ่นใจทุกครั้งที่ใช้บริการ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใคร Praram 9 พร้อมดูแล

นายแพทย์วิทยา วันเพ็ญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่าเพื่อตอกย้ำการดูแลสุขภาพในทุกมิติ ให้แก่ผู้รับบริการมีสุขภาพที่ดีและรับความรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเมื่อเข้ามาใช้บริการ ในปี 2567 นี้ โรงพยาบาลพระรามเก้าขอมอบสุขภาพที่ดีแก่ทุกท่านที่เป็นดั่ง‘ครอบครัวโรงพยาบาลพระรามเก้า’ ด้วยแคมเปญพิเศษรับปีมังกรทอง Package Happy Birthday Program” โปรแกรมตรวจสุขภาพสุด Exclusive เพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับผู้ที่มาใช้บริการตรวจสุขภาพในเดือนเกิดของท่าน” โดยผู้ที่ซื้อแพ็กเกจ จะได้รับสิทธิ์พิเศษถึง 2 ต่อ

ต่อที่1 รับทันทีส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพ 70 % ในราคาเพียง 1,999 บาท(จากราคาปกติ 7,465 บาท) กับโปรแกรมการตรวจสุขภาพรวมทั้งสิ้นกว่า 13 รายการตรวจ อาทิ ซักประวัติโดยละเอียดและตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ (Physical Examination) ตรวจเลือด (Blood Test) เพื่อหาความผิดปกติต่างๆ เช่น ตรวจหาความผิดปกติของเม็ดเลือด (Complete Blood Count หรือ CBC), ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting Blood Sugar หรือ FBS) , ตรวจระดับไขมันในเลือด (T.Cholesterol, Triglyceride, HDL, LDL(Direct) , ตรวจการทำงานของไต(BUN, Creatinine), ตับ (SGOT, SGPT) , ตรวจปัสสาวะ (Urine Examination) , ตรวจระดับกรดยูริด(โรคเก๊าท์) (Uric acid) , เช็กการทำงานของต่อมไทรอยด์(TSH) , เอกซเรย์ปอดและหัวใจ พร้อม ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)

ต่อที่2 รับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษ แพ็กเกจตรวจสุขภาพสำหรับบุคคลในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท ในราคาเดียวกัน คือ 1,999 บาท โดยรับสิทธิ์ได้สูงสุดถึง 2 ท่าน

พิเศษ เจ้าของเดือนเกิด รับของขวัญพิเศษ ผ้าขนหนู Praram 9 Hospital ผ้านุ่ม เนื้อละเอียดจำนวน 1 ผืน

ทางด้าน นางสาวสุณิตรา สุทธากร รองผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลพระรามเก้า   กล่าวเสริมว่า “สำหรับแคมเปญที่กล่าวไปข้างต้นนี้ ทางโรงพยาบาลต้องการมอบทางเลือกที่ดีที่สุดและคุ้มค่าในการให้บริการด้านสุขภาพเพื่อผู้รับบริการอย่างแท้จริงให้สมกับปีมังกรทอง และถือเป็นเพียงแคมเปญพิเศษแคมเปญหนึ่ง จากอีกหลายความพิเศษที่จะเริ่มออกสตาร์ทในปีนี้

ในปี 2567 นี้ ทางโรงพยาบาลพระรามเก้าจะมุ่งเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งผ่านกลยุทธ์หลัก ABVX และมุ่งสู่การเป็นศูนย์รวมด้านการดูแลสุขภาพที่ล้ำสมัย สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษาโรคยากซับซ้อน โดยทีมบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางที่มากกว่ามืออาชีพ ผสานเครื่องมือที่ทันสมัย และเพื่อเตรียมแผนขยายความก้าวหน้าสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย”

 สำหรับท่านที่สนใจ Package Happy Birthday Program ซื้อแพ็กเกจและใช้สิทธิ์ได้ที่โรงพยาบาลพระรามเก้า หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Add LINE : https://hubs.li/Q02k6DV80 หรือ www.praram9.com สอบถามเพิ่มเติมโทร.1270 #แพ็กเกจตรวจสุขภาพ #โรงพยาบาลพระรามเก้า #เรื่องสุขภาพไว้ใจเรา #Praram9Hospital #HealthcareYouCanTrust

“อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์” ยกงานแสดงสินค้า B2B อัญมณีมาตรฐานเบอร์หนึ่งโลก จัดที่ประเทศไทย  Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านงานแสดงสินค้าธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาค

อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เตรียมเปิดม่านงานแสดงสินค้า B2B ชั้นแนวหน้าแห่งอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานการจัดแสดงที่พิสูจน์ความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ในงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 (JGAB 2024) วันที่ 1-4 พฤษภาคม 2567 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ปูพรมผู้ประกอบการไทยเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีสิ้นสุด กับผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 500 รายจาก 15 ประเทศทั่วโลก พร้อมผู้ซื้อคุณภาพจากกว่า 60 ประเทศ ยิ่งใหญ่กว่าเดิมบนพื้นที่จัดแสดงที่เพิ่มขึ้น 50% รายล้อมด้วยแฟชั่นเวิร์คช้อป งานสัมมนา กิจกรรมนำเทรนด์ธุรกิจ ตอบโจทย์ทุกการเติบโตของธุรกิจบนเวทีระดับสากล จองบูธได้แล้วที่ https://bit.ly/46J3xIO หรือลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้ทาง https://bit.ly/3wbBlRR

            คุณสรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาเก็ตส์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ชื่อของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จิวเวลเลอรี่ (Informa Markets Jewellery) เป็นที่รู้จักดีในระดับนานาชาติ ในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้า B2B อันดับ 1 ของอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ที่มีเครือข่ายอีเว้นท์ร่วม 30 งานในกว่า 10 เมืองสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ให้กับตลาดอัญมณีทั่วโลก จากการดึงดูดผู้ซื้อและผู้จัดแสดงที่มากด้วยศักยภาพมารวมตัวในงานแสดงสินค้าที่หลากหลาย อาทิ Jewellery & Gem WORLD Hong Kong, Jewellery & Gem ASIA Hong Kong รวมถึงครั้งแรกของการจัดงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok (JGAB) ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนสามารถยกระดับให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นอีกศูนย์กลางตลาดอัญมณีแห่งสำคัญของโลก

            ความสำเร็จของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ จิวเวลเลอรี่ เกิดจากความเข้าใจในอุตสาหกรรมอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นแง่ของแนวโน้มในตลาดอัญมณี จนถึงการจัดวางทิศทางงานแสดงสินค้า พร้อมความสามารถในการนำมาต่อยอดสร้างประสบการณ์คุณภาพให้กับผู้มาเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยอินฟอร์มาฯ ได้วางกลยุทธ์การจัดงานโดยนำเสนอความน่าสนใจในทุกตารางเมตร เช่นมุมวัตถุดิบ Color Gemstone, Loose Diamond, Pearls ฯลฯ หรือใน

มุมของอัญมณีและเครื่องประดับสำเร็จรูป ไปจนถึงส่วนจัดแสดงนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ในกลุ่มงานผลิต บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ทั้งยังเติมเต็มชีวิตชีวาให้งานด้วยแรงดึงดูดของ PAVILIONS นานาประเทศ ซึ่งอาจนับเป็นเอกลักษณ์ของอินฟอร์มาฯ ในการดึงเอาศักยภาพของอัญมณีแต่ละประเทศออกมาจัดแสดงได้อย่างเต็มที่

            อีกทั้ง ความสำเร็จดังกล่าวยังถูกตอกย้ำด้วยภาพรวมการเติบโตบนเวทีอุตสาหกรรมอัญมณีในแต่ละภูมิภาค สะท้อนให้เห็นผ่านจำนวนเครือข่ายธุรกิจที่เข้ามาร่วมงานอย่างล้นหลาม ตั้งแต่ ผู้จัดแสดง 3,422 คน จาก 44 ประเทศในงาน JGW และ 1,688 คน จาก 33 ประเทศในงาน JGA รวมถึงด้านความร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำที่ช่วยยกระดับแพลตฟอร์ม B2B อย่างมีคุณภาพ อาทิ เวทีสัมมนาโดยผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ เวทีประกวดส่งเสริมพัฒนาฝีมือ เป็นต้น และกลางปีนี้เป็นอีกครั้งที่ประเทศไทย จะได้เปิดประตูต้อนรับผู้ประกอบการอัญมณีและเครื่องประดับจากทั่วโลก เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ไม่มีสิ้นสุด ที่งาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 (JGAB 2024) ในระหว่างวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

            โดยงานแสดงสินค้าด้านอัญมณีและเครื่องประดับแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 นี้ ได้จัดขึ้นภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับงาน Jewellery & Gem ทั่วโลก พร้อมสัมผัสความยิ่งใหญ่กว่าเคย บนพื้นที่จัดแสดงเพิ่มขึ้นถึง 50% รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและนวัตกรรมที่ก้าวล้ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์ที่พร้อมสานต่อทุกแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้ธุรกิจในมือของผู้มาเยี่ยมชม เตรียมพบกับ

  • ผู้ร่วมแสดงสินค้ากว่า 500 รายจาก 15 ประเทศทั่วโลก ที่เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานผสมผสานที่ลงตัวของงานฝีมือและความคิด จากคอลเลกชั่นอัญมณีและเครื่องประดับหายากมากกว่า 10,000 รายการ และละลานตากับวัตถุดิบและชิ้นงานสำเร็จที่ตอบโจทย์ธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  • ผู้ซื้อคุณภาพจากทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ ที่เข้ามาด้วยความเชื่อมั่นในเครือข่ายธุรกิจอัญมณีระดับโลก โดยคาดการณ์จำนวนผู้เข้าชม ผู้ซื้อตัวจริงในอุตสาหกรรม และผู้นำเทรนด์จากเวทีเครื่องประดับระดับโลก เข้ามาเชื่อมต่อรวมกันไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคอาเซียน อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง
  • เวิร์คช้อป สัมมนา และกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจ ที่เป็นการเปิดทุกเทรนด์เครื่องประดับล่าสุดไปจนถึงข้อมูลเชิงลึกในอุตสาหกรรม พร้อมที่จะช่วยยกระดับความเชี่ยวชาญ ขยายขอบเขตความรู้และความคิดสร้างสรรค์ออกไปอย่างไม่มีสิ้นสุด

เตรียมความพร้อมเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2024 (JGAB 2024) เวทีมาตรฐานงานแสดงสินค้าระดับโลก เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับผู้ประกอบการด้านอัญมณีและเครื่องประดับไทยที่ต้องการเติบโตและขยายธุรกิจไปสู่ตลาดสากล ขอเชิญผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงาน JGAB 2024 เลือกทำเลที่

เหมาะสมที่สุด จองบูธได้แล้ววันนี้ที่ https://bit.ly/46J3xIO หรือโทร 063-796-5464 คุณฐิติมา พร้อมลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้แล้วที่ https://bit.ly/3wbBlRR

 จุดเริ่มต้นที่พิเศษของชีวิตที่ “แฮตตัน เรสซิเดนซ์ สิริโสธร ” (HATTON- RESIDENCE SIRI SOTHORN )บ้านเดี่ยวระดับ Luxury สไตล์ Modern English

นับว่าเป็นโครงการบ้านเดี่ยวสุด Luxury สไตล์ Modern English  สำหรับ “แฮตตัน” (HATTON RESIDENCE) บนถนนสิริโสธร ฉะเชิงเทรา ที่บริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด ได้บรรจงสร้างบนพื้นที่กว่า 30 ไร่ จำนวน 123 ยูนิต  เพื่อให้เป็นโครงการที่หรูที่สุดพร้อมสังคมคุณภาพ  “ ดร.สืบวงษ์ สุขะมงคล” ประธานกรรมการบริหาร แพทโก้ กรุ๊ป เผย “แฮตตัน” (HATTON – RESIDENCE SIRI SOTHORN) ถือเป็นบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบที่สุด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Where Your Luxury Life Begins” ที่สุดของการใช้ชีวิต เริ่มต้นที่นี่ ด้วยวิถีชีวิตที่เหนือระดับบนโลเคชั่นที่สมบูรณ์แบบที่สุดของฉะเชิงเทรา ด้วยทำเลที่ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งอาคารสโมสร สระว่ายน้ำ ฟิตเนส กล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม ให้ชีวิตทุกวันของคุณเพียบพร้อมแลเต็มไปด้วยความสุนทรีย์ ตลอดจนใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ที่คุณสามารถเข้าถึงทุกการเดินทางได้อย่างคล่องตัว

พบกับ “แฮตตัน” (HATTON- RESIDENCE SIRI SOTHORN) บนถนนสิริโสธร สะดวกทุกการเดินทาง  ในราคาเริ่มต้นที่ 7.49 ล้านบาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 098-498-9555   

ไดกิ้น จับมือ “เด็นโซ่” เซ็น MOU ติดตั้งโซลูชั่นอากาศสะอาด พร้อมร่วมแรงสร้างความยั่งยืน สู่เป้าหมายสูงสุด Net Zero ปี 2050

ไดกิ้น ผนึกความร่วมมือ “เด็นโซ่” (Denso) ลงนาม MOU ในงาน “DAIKIN x DENSO DRIVING THE SUSTAINABILITY FORWARD” ติดตั้งโซลูชั่นระบบปรับอากาศในพื้นที่ทำงานของบุคลากร ด้วยนวัตกรรมอากาศสะอาดที่มุ่งสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ พร้อมช่วยสานปณิธานด้านความยั่งยืน จากการร่วมกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างความตระหนักให้สังคมร่วมแรงรักษาสิ่งแวดล้อม วางเป้าหมายระยะยาว ดำเนินงานสององค์กรร่วมสร้าง Net Zero ในปี 2050

            นายอะคิโนริ อะตาราชิ ประธานกรรมการ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า
ไดกิ้นและเด็นโซ่ เป็นองค์กรที่มีปณิธานเดียวกันคือมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน นั่นจึงทำให้บันทึกข้อตกลงหรือ MOU ฉบับนี้ เป็นเหมือนการขับเคลื่อนครั้งสำคัญเพื่อร่นระยะทางไปสู่เป้าหมายทั้งกับการสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) รวมถึงผลลัพธ์สูงสุดในระยะยาว เพื่อไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ให้สำเร็จภายในปี 2050

            ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด และบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยทีมวิศวกรและทีมผู้เชี่ยวชาญจะร่วมกันกำหนดแผนและดำเนินการส่งมอบโซลูชั่นการจัดการระบบปรับอากาศที่ดีที่สุด ไปติดตั้งยังพื้นที่โรงงานของเด็นโซ่ เพื่อให้พนักงานทุกคนมีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ จากสภาพแวดล้อมอากาศสะอาด มีคุณภาพ ตามมาตรฐาน Perfecting the Air พร้อมต่อยอดเป็นโครงสร้างพื้นฐานนำร่องติดตั้งในโรงงานต่าง ๆ ของเด็นโซ่ทั่วประเทศต่อไป ซึ่งระบบโซลูชั่นดังกล่าว ได้รับการพัฒนาและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองโจทย์สำคัญด้านสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ เทคโนโลยี Inverter ที่ติดตั้งในเครื่องปรับอากาศทุกประเภทมีส่วนช่วยลดความสิ้นเปลืองพลังงาน และยังมีการพัฒนานวัตกรรม Daikin Max Inverter เพื่อมุ่งเสริมประสิทธิภาพการแปลงพลังงาน     ที่ 93% ในปี 2025, เทคโนโลยี VRV System สำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ที่สามารถลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างครอบคลุม

            อีกทั้งการ MOU ที่เกิดขึ้น ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่สององค์กรได้ร่วมกันลดและป้องกันการสะสมของก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่กำลังส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม
อย่างการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสภาวะโลกร้อน ผ่านการใช้งานระบบโซลูชั่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอน หรือแม้แต่การเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกภาคส่วนได้ตระหนักถึงความสำคัญและเห็นผลลัพธ์ของการสร้างความยั่งยืนในครั้งนี้

            โดย ดร.ธีระวัฒน์ ลิมปิบันเทิง ประธานกรรมการ บริษัท สยาม เด็นโซ่ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ได้เปิดเผยว่า วิสัยทัศน์ของเด็นโซ่คือการมุ่งเป็นผู้พัฒนายานยนตร์สมัยใหม่ที่ขับเคลื่อนโลก พร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับผู้คน นั่นจึงทำให้เราตระหนักดีถึงการแก้ปัญหาโลกร้อนซึ่งเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเด็นโซ่ได้ดำเนินการนโยบาย GREEN AND PEACE OF MIND เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและปกป้องสภาพภูมิอากาศของโลกใบนี้ ซึ่งบันทึกข้อตกลงร่วมกับ ‘ไดกิ้น’ ครั้งนี้ นับเป็นความร่วมมือสำคัญ ที่เด็นโซ่จะได้รับการสนับสนุนและพัฒนาระบบปรับอากาศที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน เหมาะสมกับการใช้งานในอาคาร รวมถึงร่วมมือในด้านการศึกษา แบ่งปัน และถ่ายทอดทักษะ-นวัตกรรมการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพื่อยกระดับความสามารถในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบรรลุ Net Zero Emissions อันเป็นเป้าหมายสำคัญของสองบริษัทฯ ต่อไป

            ด้าน นายไดสุเกะ มุราคามิ ประธาน บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ไดกิ้นตระหนักดีว่าความยั่งยืนในสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างได้ในวันเดียว รวมถึงไม่สามารถสำเร็จได้แค่จากการ MOU นี้ แต่ความมุ่งหวังสำคัญของไดกิ้นและเด็นโซ่ คือเราต้องการให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงความรับผิดชอบ ตั้งแต่ตัวขององค์กรเองที่เป็นต้นน้ำ
ไปจนถึงปลายน้ำคือผู้บริโภค ในการเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องเข้ามาร่วมแรงผลักดันเป้าหมายเดียวกันเพื่อสร้างความยั่งยืนให้สำเร็จผลในเร็ววัน โดยไดกิ้นมีแผนปฏิบัติทั้งในระยะสั้น คือในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงกว่า 200 ล้าน kgCO2 เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ทดแทนกว่า 8 ล้านต้น ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ ใหม่อย่าง
Daikin Max Inverter Star Series

            “ส่วนในระยะยาว เรามีความมุ่งหวังที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี
โดยไดกิ้นวางเป้าหมายลดลง 30% ในปี 2025 และลดลง 50% ในปี 2030 ไปจนถึงท้ายที่สุดคือการทำ
Net Zero สร้างอากาศสมบูรณ์แบบรอบด้าน ให้สำเร็จภายในปี 2050”

โฮมโปร ปรับโฉมใหม่ ปั้นสาขา “รัชดา” แลนด์มาร์กศูนย์กลางเรื่องบ้าน ครบครัน ทันสมัย รองรับทุกไลฟ์สไตล์ บนทำเลแห่งการใช้ชีวิตย่านคนเมือง เปิดเต็มรูปแบบ 17 ก.พ. 67 นี้

โฮมโปร เดินหน้ายกระดับสโตร์รับปี 67 ด้วยการปรับโฉมครั้งใหม่ เปลี่ยน “โฮมโปร รัชดา (บิ๊กซี รัชดา)” สู่แลนด์มาร์กศูนย์การค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ดีที่สุดในทุกมิติเรื่องบ้าน ด้วยแนวคิด SMART LIFE & HOME INSPIRE ตอบรับการขยายตัวด้านอสังหาริมทรัพย์บนทำเลแห่งการใช้ชีวิตย่านรัชดา โดยผสานความครบครันของสินค้า บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกของไลฟ์สไตล์กับการใช้ชีวิตบนสภาพแวดล้อมยั่งยืน ให้ลงตัวในแบบ GREEN+MOVEMENT+HOME เพื่อสร้างไอเดียใหม่ๆ ให้กับทุกๆ การตกแต่ง-ปรับปรุงบ้าน พร้อมจัดเต็มสินค้าและโปรโมชั่นต้อนรับรูปโฉมใหม่ แจกคูปองส่วนลดรวมสูงสุด 1,300 บาท สินค้าราคาเดียว 9,990 บาท และสิทธิพิเศษจากหลากหลายสถาบันทางการเงินที่เข้าร่วมรายการ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หวังยอดขาย 70 ล้านบาท/เดือน

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เผยว่า
“ในปี 2567 นี้ เราได้วางทิศทางการยกระดับพัฒนาสโตร์ของโฮมโปร โดยการดึงแนวคิด SMART LIFE & HOME INSPIRE
มาใช้ออกแบบสร้างสโตร์ที่พร้อมตอบโจทย์ความต้องการอย่างดีที่สุดในทุกมิติเรื่องบ้าน การปรับโฉมใหม่ของ
 โฮมโปร รัชดา (บิ๊กซี รัชดา) ครั้งนี้ จึงผสมผสานไว้ด้วยความครบครันของสินค้า บริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์กับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่พักอาศัยย่านนี้ และรองรับต่อการขยายตัวด้านอสังหาริมทรัพย์บนทำเลรัชดา หรือ NEW CBD ศูนย์กลางทางที่อยู่อาศัยและธุรกิจแห่งใหม่ที่เชื่อมต่อกับโซนกรุงเทพชั้นใน ซึ่งมีเส้นทางการเดินทางและรถไฟฟ้าสาธารณะที่เชื่อมต่อกับย่านกำลังซื้อสูงรอบด้าน อาทิ พระราม 9, สุทธิสาร หรือลาดพร้าว เกิดเป็นดีมานด์จากแหล่งรวมโครงการบ้าน-คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทำให้ย่านรัชดามีความต้องการตกแต่ง-ปรับปรุงบ้านที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความสำคัญต่อการใช้ชีวิตร่วมกับสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน เป็นความลงตัวแบบ GREEN+MOVEMENT+HOME ให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการโฮมโปร มีความสุขกับทุกพื้นที่ เกิดไอเดียใหม่ๆ สำหรับการตกแต่งบ้าน

“นอกจากนี้ จุดแข็งที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ยังช่วยเชื่อมประสบการณ์ช้อปเข้ากับช่องทางบริการของโฮมโปรได้อย่างไร้รอยต่อ ด้วยกลยุทธ์การขยาย OMNICHANNEL จะทำให้ลูกค้าโดยรอบได้รับการดูแลแบบครบวงจร มีการส่งสินค้าที่สั่งบนแอปพลิเคชั่นของโฮมโปร ส่งถึงบ้านภายในวันเดียว หรือเข้ามารับเองที่สาขาได้ง่ายๆ ด้วยการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว โดยคอนเซ็ปต์การรีโนเวท อยู่ในรูปแบบ MODERN STYLE ผ่านรูปลักษณ์ทันสมัยผสมกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การให้บริการอย่างครอบคลุม

บนพื้นที่กว่า 5,180 ตารางเมตร เรามี GRAPHIC KNOWLEDGE ตามจุดต่างๆ ที่จะบอกเล่าถึงการทำงานของสินค้าและวิธีติดตั้ง รวมถึงเพิ่มจุดส่งเสริมการขายด้วย CROSS MERCHANDISE โดยการนำสินค้าที่อยู่ต่างแผนกมาขายร่วมกัน ตกแต่งโดยใช้โทนสีขาวเทาและลายไม้ ให้ดูอบอุ่นและเข้ากันกับฝ้าระแนงไม้สีดำ ให้ความรู้สึกทันสมัย โปร่งโล่งเบาสบาย พร้อมใช้

ป้าย GRAPHIC เข้ามาช่วยบอกแผนกและชนิดสินค้าที่ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงด้านซ่อมแซมปรับปรุงบ้าน HOME SERVICE โดยทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับลูกค้าที่มาซื้อสินค้าที่สาขา ก็สามารถเลือกผ่าน E-CATALOGUE หรือรับคำแนะนำโดยตรงจากพนักงานได้เช่นกัน ซึ่งการรีโนเวทครั้งนี้จะช่วยดึงดูดและกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ พร้อมสร้างยอดขายได้ราว 70 ล้านบาท/เดือน”

โฮมโปร รัชดา (บิ๊กซี รัชดา) พร้อมเปิดให้บริการในรูปแบบใหม่เต็มรูปแบบ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ พร้อมมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการตลอดเดือนกุมภาพันธ์ ด้วยขบวนสินค้าราคาดีและโปรโมชั่นจัดเต็ม โดยเฉพาะสิทธิพิเศษสมาชิกโฮมการ์ด ตั้งแต่วันที่ 17-19 ก.พ.67 3 วันเท่านั้น รับคูปองส่วนลดรวมสูงสุด 1,300 บาท ผ่าน HomePro Line Connect และสมาชิกใหม่ ช้อปบิลแรก 5,000 บาทขึ้นไป รับฟรีคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ สูงสุด 500 บาท (จำกัด 100 สิทธิ์/วัน)

พิเศษ !! ช้อปคุ้มกว่าเพียงใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อ รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 15% และพลาดไม่ได้กับโปรฯ ปังสนั่นรัชดา Talk of the Town! 17 ก.พ.67 วันเดียวเท่านั้น! เฉพาะ 100 ท่านแรก ที่ซื้อสินค้าและร่วมสนุกตอบคำถาม รับสิทธิ์จับคูปองซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ แอลอีดีทีวี เครื่องซักผ้า และอื่นๆ หมดแล้วหมดเลย!

นอกจากนี้ โฮมโปร ผนึกกำลังสถาบันการเงินชั้นนำจัดใหญ่ให้ชาวเมืองรัชดาที่ช้อปสินค้าและบริการตกแต่งบ้านได้คุ้มตลอดเดือนนี้ อาทิ บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลดทันที 3% ตั้งแต่บาทแรก รับเครดิตเงินคืนเข้าโฮมโปร วอลเล็ต สูงสุด 3%

พร้อมใช้คะแนนเท่ายอดชำระ ลดเพิ่ม 13%, บัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15,000 บาท, บัตรเครดิตกรุงศรี รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4% และลดเพิ่มอีก 10% เมื่อแลกคะแนนเท่ายอดชำระ จัดเต็มกับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 24 เดือน พร้อมสิทธิประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย พลาดไม่ได้ 17 กุมภาพันธ์ – 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้

Kind + Jugend ASEAN 2024 (คินอันยูเก้น อาเซียน)พร้อมต้อนรับนักธุรกิจทั้งไทยและต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกไว้ด้วยกัน คาดเม็ดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

บริษัท โคโลญเมสเซ่ ประเทศไทย (บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด) จับมือพันธมิตรจัดงานแสดงสินค้านานาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์และของใช้จำเป็นสำหรับแม่และเด็กแห่งภูมิภาคอาเซียน “Kind + Jugend ASEAN” ระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5-6 กรุงเทพฯ โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการ เจ้าของแบรนด์ หรือผู้นำเข้าที่ต้องการสินค้าแม่และเด็กพรีเมี่ยมได้มาจับคู่ธุรกิจภายใต้ “Business Matching Programme” พร้อมติดอาวุธด้วยหัวข้อสัมมนาดี ๆ เน้นโอกาสทางธุรกิจของสินค้าแม่และเด็ก คาดเม็ดเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

ความใหม่และกิจกรรมพิเศษภายในงานปีนี้

คุณภูษิต ศศิธรานนท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล
เน็ทเวอร์ค กล่าวว่า “จากความสำเร็จของการจัดงานในปีที่แล้ว ที่สามารถสร้างมูลค่าการซื้อขายในงานมากกว่า 1,000 ล้านบาท ตอกย้ำการเป็นงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่เปิดตลาดอาเซียน +6 ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ โดย Kind + Jugend ASEAN ในปีนี้ เราได้ยกระดับพร้อมปลดล็อกข้อจำกัดเดิมไปอีกขั้นด้วยธีม ‘Taking A Leap Forward’ หรือขยายความที่ว่า ทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วยนวัตกรรม ซึ่งภายในงานจะมีการจัดแสดงจากแบรนด์สินค้าแม่และเด็กชั้นนำกว่า 300 แบรนด์ 7 โปรไฟล์ตามประเภทของสินค้า ครอบคลุมทุกความต้องการในงานเดียว โดยมุ่งเน้นไปที่สินค้าเชิงนวัตกรรม สินค้าที่ทำจากส่วนผสมธรรมชาติ ปลอดสารเคมี บรรจุภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน สามารถใช้ซ้ำ และไม่เป็นขยะหรือสารเคมีต่อโลก นอกจากนี้ยังมีหัวข้อสัมมนาที่สอดคล้องกัน อาทิ Guideline to Create Smart Innovative Solution for Your Little One, Transforming Trends in Baby Product Design & Development และอีกมากมาย โดยคาดว่างาน Kind + Jugend ASEAN 2024 จะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 4,000 ราย จากทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน และมีการเจรจาธุรกิจที่คาดว่าจะสร้างมูลค่าการซื้อขายในงานไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ เรายังมีกิจกรรมพิเศษในวันสุดท้ายของงานคือ การประกวด หนูน้อยคินอันยูเก้น เพื่อส่งเสริมเรื่องพัฒนาการของเด็กในยุคนี้ เราจะได้เห็นความสามารถ ความน่ารักและบุคลิกภาพที่ดีของเด็ก ตรงกับธีม ‘Taking A Leap Forward’ พร้อมรับรางวัลทุนการศึกษา 1 หมื่นบาทในรอบตัดสินวันสุดท้ายของงาน และพิเศษสุด ขอเชิญร่วมลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้า เพื่อรับของที่ระลึกสุดพิเศษ อาทิ หนังสือนิทานหลากหลายเรื่องราว ที่จะมาเติมเต็มพัฒนาการวัยหนูน้อยที่กำลังเรียนรู้ สู่โลกแห่งจินตนาการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยังมีสินค้าจากแบรนด์ดังที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ รวมทั้งสิ้น 1,000 รายการ ซึ่งจะประกาศให้ทราบพร้อมกันในเดือนมีนาคม ลงทะเบียนได้แล้วตั้งแต่วันนี้”

การส่งออกผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กของไทยเติบโตต่อเนื่อง

คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้า กล่าวว่า “ปัจจุบันประชากรในภูมิภาคอาเซียนมีมากกว่า 660 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยจากข้อมูลฯ พบว่า กลุ่มประเทศอาเซียนที่มีอัตราการเกิดสูงที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ ลาว ฟิลิปปินส์ กัมพูชา
เมียนมาร์ และอินโดนีเซีย ในขณะที่ประเทศผู้นำด้านตลาดสินค้าแม่และเด็ก ประกอบไปด้วย ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าของเล่นเด็กที่มีความโดดเด่นด้านคุณภาพมาตรฐานของสินค้าและเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ ของเล่นเด็กจึงเป็นสินค้าส่งออกศักยภาพสูงที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสินค้าประเภทรถจักรยานสามล้อ สกูตเตอร์ รถยนต์ที่ใช้เท้าถีบ และของเล่นมีล้อที่คล้ายกัน รถเข็นสำหรับตุ๊กตา ของเล่นสำหรับฝึกสมองทุกชนิด มีตลาดส่งออกสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน เยอรมนี เม็กซิโก และสหราชอาณาจักร ตามลำดับ โดยการสนับสนุนงานในครั้งนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันผู้ประกอบการไทยให้ส่งออกในระดับนานาชาติ และเพื่อเปิดประตูสู่การลงทุนในประเทศไทย โดยเน้นกลุ่มผู้ซื้อและผู้เข้าร่วมงานจากภูมิภาคอาเซียนและประเทศโดยรอบ ผ่านการจัดงานแสดงสินค้าสำหรับแม่และเด็กระดับพรีเมี่ยม”

พร้อมยกระดับ SME ไทย ดังไกลทั่วโลก

ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า “เราพร้อมทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการดําเนินงานส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของประเทศ อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางประสานงานกับ สสว. ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการทั้งเงินทุนและองค์ความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรมฯ ให้สามารถเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย และนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันระดับต่างประเทศ ผ่านมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการ ภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS”

เปิดประตูประเทศไทย ศูนย์กลางการลงทุนแห่งภูมิภาคอาเซียน

คุณดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ทีเส็บมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวของตลาดและเพิ่มศักยภาพการค้าการลงทุนในแต่ละอุตสาหกรรมผ่านงานแสดงสินค้านานาชาติ ดังนั้นการจัดงานแสดงสินค้า Kind + Jugend ASEAN นี้ ถือเป็นงานแสดงสินค้าที่เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ได้มีโอกาสนำเสนอสินค้า พบปะกับผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและเกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ผลิต ผู้นำเข้าและผู้ส่งออก ตลอดระยะเวลาของการจัดงาน โดยทีเส็บได้สนับสนุนการจัดงานในครั้งนี้ โดยเฉพาะการสนับสนุนทางด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้จัดงานเพิ่มตัวเลขผู้เข้าร่วมงานจากต่างประเทศ สร้างโอกาสให้เกิดการเชื่อมโยงและต่อยอดธุรกิจ ยกระดับงานแสดงสินค้าแม่และเด็กให้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมที่มีความสร้างสรรค์และบริการของผู้ประกอบการ พร้อมให้ไทยเป็นศูนย์กลางของตลาดระดับภูมิภาคและขยายตลาดสินค้าแม่และเด็กไปสู่ตลาดโลก”

นำทัพของเล่นวิทยาศาสตร์ ผ่านนิทรรศการเชิงปฏิบัติการ

คุณสุวรงค์ วงษ์ศิริ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่า “ความพิเศษของการจัดงานในครั้งนี้ อพวช. ได้สนับสนุนและนำนิทรรศการชุด Plearn Science Explorer, ชุดสื่อการเรียนรู้ NSM Plearn Science และกิจกรรม I-SCREAM มาจัดแสดงเพื่อส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และเข้าถึงวิทยาศาสตร์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ตอกย้ำว่าวิทยาศาสตร์มีความสำคัญกับเด็กปฐมวัย เนื่องจากเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น การปลูกฝังเด็กให้เติบโตไปพร้อมกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือเป็นการวางรากฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ให้กับเด็กและเยาวชน นำไปสู่การเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการส่งเสริมกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศต่อไป อีกทั้งยังเป็นการช่วยสร้างศักยภาพให้ตลาดสินค้าแม่และเด็กภูมิภาคอาเซียนเติบโตไปอีกขั้น”

สำหรับงาน Kind + Jugend ASEAN 2024 จะถูกจัดขึ้นในวันที่ 25-27 เมษายน 2567
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5-6 กรุงเทพฯ โดยมีแบรนด์ชั้นนำอย่าง The Vauva, Attitude Mom, Baa Baa Sheepz®, Granny Ben™, Begin Baby Food, Bzu Bzu, Comfy Nest, Dr Albani & Baby Up, Farlin, Fiffy, Hanul, Kanmo Group, Frigg, Mushie, และ Tiny Twinkle ตอบรับเข้าร่วมงานดังกล่าวแล้ว

Valentineนี้…มา Check up “สุขภาพหัวใจ” เตรียมฟิตเกินร้อยก่อนแต่ง

การดูแลสุขภาพเตรียมพร้อมก่อนแต่งงานเป็นสิ่งสำคัญ .. โรงพยาบาลพระรามเก้า ขอเชิญคู่รักที่กำลังวางแผนลั่นระฆังวิวาห์ในเดือนแห่งความรักนี้ มาดูแลสุขภาพกับ “โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน” ราคาสุด Exclusive

  • แพ็กเกจสำหรับสุภาพสตรี เพียง 3,400 บาท
  • แพ็กเกจสำหรับสุภาพบุรุษ เพียง 3,200 บาท

**หรือคลิก https://hubs.li/Q02ksZxs0

พร้อมขอเชิญคู่รักทุกคู่ ควงคู่คนรัก Check up หัวใจ ให้ฟิตเกินร้อย! มาร่วมต้อนรับเดือนแห่งความรัก ด้วยการมอบสุขภาพที่ดีแก่คนที่เรารักและตัวเราเอง กับโปรแกรม “ตรวจสุขภาพ 9 Healthy Heart” เริ่มต้นเพียง 6,900 บาท กับโปรแกรมการตรวจแบบพิเศษ ให้ท่านเลือกอย่างหลากหลาย อาทิ

  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจและทดสอบสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งสายพาน Exercise Stress Test (EST)
  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจ พร้อมตรวจหัวใจด้วย คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (ECHO)
  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพหัวใจ พร้อมตรวจหาคราบหินปูน ที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (CAC)
  • แพ็กเกจตรวจสมรรถภาพร่างกาย ระบบหัวใจ และปอด(V02 MAX)

**หรือคลิก https://hubs.li/Q02j-gKq0

สนใจแพ็กเกจ หรือมอบเป็นของขวัญอันล้ำค่าแก่คนที่คุณรัก ได้ง่าย ๆเพียงคลิกhttps://pr9shop.praram9.com/ พร้อมรับ E-coupon ได้ทันทีทาง SMS โดยเปิดประวัติและทำนัดหมายด้วยตนเองได้ตั้งแต่ที่บ้าน ไม่ต้องรอคิวนาน ลดระยะเวลาในการอยู่ที่โรงพยาบาล

ซื้อแพ็กเกจและสามารถเข้ารับบริการ แพ็กเกจตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2567 ด่วน!! เฉพาะโปรแกรม 9 Healthy Heart ระยะเวลาซื้อโปรแกรมและเข้ารับบริการภายใน 29 กุมภาพันธ์ 2567 เท่านั้น!! (ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว)

ไดกิ้นคว้า 3 รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี 2566แสดงศักยภาพและความสำเร็จต่อเนื่องเป็นปีที่ 34

นาย นาโอโตะ เซคิดะ ประธานบริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด  นาย ไดสุเกะ
มุราคามิ
ประธานบริษัท สยามไดกิ้นเซลล์ จำกัด และนาย ทาคาชิ โออิ ประธานบริษัท ไดกิ้น คอมเพรสเซอร์ อินดัสทรีส์ จำกัด เข้ารับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น หรือ The Prime Minister’s Industry Award 2023 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล จากนายกรัฐมนตรีเศรฐา ทวีสิน

กลุ่มบริษัทไดกิ้น ประเทศไทย ได้มุ่งเน้นความสําคัญของการลงทุนยกระดับในด้านเทคโนโลยี ภายใต้สโลแกน PERFECTING THE AIR  เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและสามารถตอบสนองความต้องการอากาศคุณภาพของผู้บริโภคในทุกช่วงเวลารวมถึงมีการพัฒนาให้สอดรับกับการเปลื่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก และ นโยบายของรัฐบาล ด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและ ความยั่งยืน ภายใต้มาตรฐานใหม่ของภาครัฐ ด้วยผลิตภัณฑ์ไดกิ้น Max Inverter KZ Series โดยมุ่งเน้นพัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีที่สุด  ใช้พลังงานต่ำสุด  ปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด จากการออกแบบกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กระบวนการจัดหาชิ้นส่วนสีเขียว รวมทั้งพัฒนาเทคโนโลยี IAQ (Indoor Air Quality) ร่วมกับเทคโนโลยี Streamer ที่เป็นลิขสิทธิเฉพาะของไดกิ้น โดยมีประสิทธิภาพควบคุมฝุ่น ( PM 2.5) และละอองติดเชื้อ (ASHRAE Standard 241) เพื่อคุณภาพอากาศภายในอาคารที่ดีเหมาะสมกับผู้ใช้งานในยุคปัจจุบัน

จากศักยภาพ และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนก้าวสู่ปีที่ 34 ส่งผลให้ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 และขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจากประเทศญี่ปุ่น สู่การเป็นฐานการผลิต, ศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์หลัก และเป็นศูนย์กลาง ในการกำกับดูแลการบริหารจัดการในภูมิภาคเอเชีย-โอเชียเนีย ส่งผลให้บริษัท ฯได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2566 ถึง 2 ประเภท ประกอบด้วย ประเภทอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต (Manufacturing and Service of the Future)  และ ประเภทการบริหารความปลอดภัย (Safety Management)

อีกทั้ง ประเทศไทยได้ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจซึ่งผลักดันให้เปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศไทย 4.0 ด้วยการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ Value-Based Economy บริษัทฯ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ทิศทางดังกล่าว และเป็นการตอกย้ำถึงความเอาใจใส่ของผู้บริหาร และการคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงาน  ทำให้พนักงานทุกระดับมีความมั่นใจและเกิดแรงจูงใจในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล กระทรวงอุตสาหกรรมจึงมอบรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต และประเทศการบริหารความปลอดภัย เพื่อประกาศเกียรติคุณให้ บริษัท ไดกิ้น อินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นแบบอย่างแก่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมและสร้างแรงผลักดันแก่อุตสาหกรรมและเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศในอนาคต

ในขณะเดียวกัน บริษัท ไดกิ้น คอมเพรสเซอร์ อินดัสทรีส์ จำกัด ผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์เครื่องปรับอากาศ ภายใต้แบรนด์ “ไดกิ้น” มุ่งมั่นพัฒนาระบบการบริหารงานเพื่อยกระดับการดำเนินงานโดยปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มีการนำระบบ Automation, IoT มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับคุณภาพ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมการทำงาน ด้วยภายใต้หลักการบริหารนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ที่โดดเด่นและสอดคล้องกับนโยบาย 4.0 ของกระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้รับเลือกให้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เพื่อเป็นแบบอย่างการบริหารจัดการโรงอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป