โรคอ้วนจุดเริ่มต้นของความดัน ไขมัน เบาหวานแม้จะเป็นง่ายแต่รักษาได้ แนะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมปรับพฤติกรรมแก้ไขเรื่องน้ำหนักตัวแบบยั่งยืน

วันที่ 4 มีนาคมของทุกปีถือเป็นวันอ้วนโลก หรือ World Obesity Day ซึ่งจากสถิติข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข พบว่าคนไทยมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน และ 1 ใน 3 ของประชากรไทยที่พบว่าผู้ที่น้ำหนักเกินกำลังอยู่ในภาวะโรคอ้วน ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 2 ที่มีประชากรเป็นโรคอ้วนรองจากประเทศมาเลเซีย

นาวาโท นพ.คมเดช ธนวชิระสิน ศัลยแพทย์การผ่าตัดโรคอ้วนและเมตาโบลิค โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า นับตั้งแต่โควิด-19 ระบาดจนถึงปัจจุบันเราจะพบเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหาร ที่สำคัญไทยเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยอาหารอร่อย และเข้าถึงได้ง่ายจึงทำให้หลายคนมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หากไม่ได้รับการปรับพฤติกรรมการทานอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายก็จะกลายเป็นโรคอ้วนในที่สุด และในอนาคตมีการคาดการณ์ว่าคนไทยจะเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้นอีกด้วย  หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน ซึ่งทางการแพทย์จะมีการวัดดัชนีมวลกาย หรือค่า BMI แต่เรามีวิธีสังเกตง่ายๆ ก็คือ ผู้ชายที่มีเอว หรือเส้นรอบพุงกว่า 90 เซนติเมตร หรือ 35.5 นิ้ว และผู้หญิงที่มีเอวมากกว่า หรือเส้นรอบพุงมากกว่า 80 หรือ 31.5 นิ้ว ถือว่าอยู่ในภาวะอ้วนลงพุง

แม้โรคอ้วนส่วนใหญ่จะมาจากพฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่มาจากกรรมพันธุ์ นอกจากนี้เรายังพบว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอ้วนด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากดูเรื่องพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมนั้นเราจะพบว่า ผู้ที่เป็นโรคอ้วนนั้นทานมากเกินไป โดยเฉพาะอาหารที่ให้พลังงานสูง เมื่อเผาผลาญเสร็จร่างกายก็จะนำพลังงานไปใช้ แต่หากใช้ไม่หมดพลังงานหรือไขมันก็จะถูกสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายนั่นเอง

นอกจากนั้น โรคอ้วนยังเป็นจุดเริ่มต้นพาไปสู่โรคอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในตับ โรคเบาหวาน รวมไปถึงโรคหัวใจ ซึ่งหากยังจำกันได้ช่วงการระบาดของโควิด-19 ผู้ที่เป็นโรคอ้วนมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนอื่นๆ ขณะเดียวกันไขมันไม่ได้สะสมแค่ในร่างกาย แต่ยังสะสมตามเหนียง ตามคอทำให้เกิดอาการหายใจผิดปกติ เช่นการนอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจระหว่างนอนหลับ คนไข้

บางรายที่เป็นโรคอ้วนมีความดันในช่องท้องสูงทำให้เกิดปัสสาวะเล็ดบ้าง หรือเป็นริดสีดวง ที่สำคัญการรับน้ำหนักที่มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาที่หัวเข่า ข้อขา และรองช้ำ รวมถึงอาจทำให้เป็นภาวะเข่าเสื่อมได้

“คนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน และกำลังเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน สิ่งแรกที่หมออยากแนะนำคือ การปรับพฤติกรรมรูปแบบการใช้ชีวิต เราอาจจะต้องคำนึงไว้เสมอว่าเอาเข้าในน้อยกว่าเอาออกนั่นก็หมายความว่า อาหารที่รับประทานนั่นนอกจากจะต้องมีประโยชน์แล้วยังต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมของร่างกาย หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ห่างไกลโรคอ้วนแล้วยังช่วยให้ราางกายแข็งแรงอีกด้วย”

นาวาโท นพ.คมเดช  อธิบายต่อว่า อย่างไรก็ตามจากการศึกษาและวิจัยเราจะพบว่า คนที่อ้วนมากๆ จะสามารถลดน้ำหนักได้ 10% ของน้ำหนักตัว แต่อีก 50% ก็พบว่าคนเหล่านี้จะกลับมาอ้วนเหมือนเดิม เพราะร่างกายของเราจะเริ่มบอกตัวเองว่าเรากำลังอยู่ในภาวะขาดอาหาร ทำให้การเผาผลาญน้อยลง เมื่อเราควบคุมน้ำหนักด้วยการทานอาหารลดลงก็จะพบว่า โอกาสที่น้ำหนักจะลดลง หรือทำให้ร่างกายผอมลงนั้นมีความยากขึ้น ซึ่งการพบแพทย์เพื่อออกแบบการรักษาโรคอ้วนที่เหมาะสมกับคนไข้น่าจะดีที่สุด

สำหรับการรักษาโรคอ้วนนั้นก็มีหลายแบบทั้งการรักษาด้วยยา การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร การส่องกล้องเย็บกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก รวมไปถึงการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารที่ให้ประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักลดได้ถึง 100% แต่การรักษาเหล่านี้ต้องดูว่าการทำแล้วเกิดประโยชน์ตามข้อบ่งชี้หรือไม่ และสุดท้ายคือพฤติกรรมของคนไข้หลังการรักษาที่ต้องมีปฏิบัติตามเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพดีที่สุดและยั่งยืนที่สุด

ปัจจุบันการผ่าตัดกระเพาะอาหารของโรงพยาบาลพระรามเก้ามีหลากหลายวิธี เรามีเครื่องมือที่ทันสมัยต่างๆ ที่นำมาใช้ตามความเหมาะสมของคนไข้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดส่องกล้องทั้งหมด มีแผลเล็กๆ เจ็บน้อยๆ ผ่าตัดวันเดียวคนไข้ก็สามารถลุกเดินได้ตามปกติแล้ว รวมไปถึงการมีทีมแพทย์ บุคลากรเฉพาะทาง ที่เชี่ยวชาญเรื่องการลดน้ำหนัก ควบคุมน้ำหนักพร้อมให้คำปรึกษา และรักษาคนไข้โดยตรง

“การผ่าตัดลดขนาดกระเพราอาหารเพื่อลดน้ำหนักของโรงพยาบาลนอกจากจะสามารถแก้ไขรูปร่าง              และลดภาวะการเกิดโรคต่างๆ ที่มีโรคอ้วนเป็นจุดกำเนิดแล้ว บางรายที่มีทั้งโรคประจำตัวต่างๆ เช่น อาการ นอนกรน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะหายเป็นอันดับแรก เลย หรือคนไข้บางรายที่มีไขมันสะสมในตับ

โรคความดัน และโรคเบาหวานก็จะดีขึ้น โดยผู้ป่วยบางรายสามารถหยุดยาได้ทันที ส่วนอาการอื่นๆ ที่ตามมาไม่ว่าจะเป็น อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ประจำเดือนมาผิดปกติ หรือภาวะมีบุตรยากก็จะกลับมาดีขึ้นได้”

นาวาโท นพ.คมเดช ทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันการผ่าตัดลดน้ำหนักรักษาโรคอ้วนเป็นที่ยอมรับ และแพร่หลายมากขึ้น ดังจะเห็นว่า ปัจจุบันค่ารักษาพยายาลสามารถ เบิกประกันสังคม หรือ เบิกประกันสุขภาพได้แล้วหากมีข้อบ่งชี้ชัดเจนว่าจะต้องรักษาโรคอ้วนด้วยการผ่าตัด จึงอยากให้ผู้มีภาวะโรคอ้วน ตะหนัก ถึงความอันตรายของภาวะนี้ และเมื่อต้องผ่าตัด จำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับการรักษา การปฏิบัติตัวหลังการผ่าตัด ร่วมกับ มีการติดตามอาการสม่ำเสมอ  เพราะการผ่าตัดเป็นเพียงแค่เริ่มต้นของการลดน้ำหนักเท่านั้น แต่หลังจากการลดน้ำหนักให้ผอมแล้วหุ่นดีไม่โทรม และไม่เกิดผลข้างเคียงนั้นต้องมาจากการติดตามอาการกับแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับคำแนะนำ การดูแลสุขภาพสม่ำเสมอถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

คนที่มีปัญหาโรคอ้วนส่วนใหญ่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งแล้วก็จะไม่ค่อยได้สนใจสุขภาพ และไม่ได้ห่วงเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะทุกคนกำลังมีความสุขจากการประทานอาหาร หรือของอร่อยๆ แต่หมอก็อยากให้ช่วยตระหนักถึงเรื่องสุขภาพปรับพฤติกรรมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้ไม่เกินมาตรฐานเพื่อสุขภาพของตัวเรา ส่วนคนที่อยู่ใกล้ชิดผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือคนอ้วน หมอไม่อยากให้มองว่า ทำไมถึงไม่ยอมลดน้ำหนักเพราะถ้าคนไข้อ้วนมาถึงจุดหนึ่งแล้ว การลดน้ำหนักด้วยตัวเองโดยปราศจากผู้เชี่ยวชาญจะทำให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้ยาก สิ่งที่คนใกล้ชิดทำได้ คือ ช่วยกันลดดัชนีมวลกายแล้วหันมาเพิ่มดัชนีมวลใจเพื่อให้กำลังใจคนที่กำลังเผชิญกับโรคอ้วนให้หันมาลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ปลอดภัย และลดน้ำหนักได้อย่างยั่งยืน

ซูเลียน จัด Roadshow ทั่วไทย ตลอดเดือนมีนาคม เสริมทัพสร้างนักขาย สู่เครือข่ายธุรกิจขายตรงแบบยั่งยืน

ซูเลียน เตรียมปั้นทีมนักขายรุ่นใหม่ต่อยอดสู่เครือข่ายธุรกิจที่ยั่งยืน ในกิจกรรม “ZHULIAN ROADSHOW” ตลอดเดือนมีนาคม งานนี้ซูเลียนขนทัพเหล่าผู้นำมากความสามารถและมากประสบการณ์ เพื่อร่วมเปิดมุมมองพร้อมสัมผัสทุกความมั่นคงที่เป็นไปได้ กับการลงสนามของยอดนักขายระดับมงกุฏอิสริยะ Royal Crown Director (RCD) เพื่อสร้างนักธุรกิจคุณภาพรุ่นใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, ภาคกลาง, ภาคเหนือ, ภาคใต้, และภาคอีสาน จึงขอเชิญชวนผู้ที่สนใจทุกท่านเข้าร่วมกิจกรรมเปิดรับความรู้ ตอบโจทย์มุ่งสู่เส้นทางนักขายที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นแผนการทำตลาดท่ามกลางโลกยุคใหม่ การทำตลาดออนไลน์เพื่อการต่อยอดทางธุรกิจ พร้อมสร้างสรรค์สู่โอกาสใหม่ ๆ ที่ดีกว่า เช็คตารางแล้วเตรียมตัวเตรียมหัวใจให้พร้อม ใกล้ที่ไหน ไปที่นั้น ปักหมุดรอได้เลย แล้วมาพบกัน!

ติดตามตาราง Zhulian Roadshow เดือนมีนาคม 67 เพิ่มเติมได้ทาง Line: @zhulianthailand , Fanpage Facebook : zhulianmarketing, www.Zhulian.co.th.

“โฮมโปร” x “เอสซีจีซี” สร้างมิติใหม่ครั้งแรกในไทย “รีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าเป็นสินค้าใหม่”  เร่งผลักดันระบบ ‘Closed-Loop’ สู่ผู้นำธุรกิจยั่งยืน

กรุงเทพฯ – 1 มีนาคม 2567 : “โฮมโปร (HomePro)” ร่วมกับ “เอสซีจีซี (SCGC)” ลงนามบันทึกความร่วมมือรักษ์โลกด้วย Circular Product พร้อมเปิดตัว “เครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก” ผลิตจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้เเล้วเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ขับเคลื่อนการรีไซเคิลระบบ Closed-Loop” หรือ First Retailer Making Waste Electrical and Electronic Equipment (WEEE) for Closed-Loop Circular Appliances Collaboration with SCGC” ด้วยการจัดการเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วให้กลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลระบบปิดอย่างครบวงจร เปลี่ยนเป็น Green Polymer เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality PCR) สามารถนำมาผลิตเป็นสินค้าใหม่ที่มีมูลค่า ส่งเสริมการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมผสานความเชี่ยวชาญกับพันธมิตรด้วยการนำพลาสติกรีไซเคิลจากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” (Trade In) มาพัฒนาเป็นสินค้ารักษ์โลก (Circular Product) สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตอบสนองวัตถุประสงค์ Make Every Change for Better Life

นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เปิดเผยถึงที่มาของการทำ MoU ครั้งนี้ว่า “ในช่วงเวลาที่ผ่านมา โฮมโปร (HomePro) ในฐานะผู้นำเรื่องบ้าน และ เอสซีจีซี (SCGC) ผู้นำธุรกิจเคมีภัณฑ์ครบวงจรเพื่อความยั่งยืน และผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Polymer ได้ผนึกกำลังเพื่อร่วมหาแนวทางแก้ไขบรรเทาปัญหาสภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำพลาสติกใช้แล้วมาคิดค้นพัฒนาเป็นนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Circular Product) ซึ่งได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อช่วงปลายปี 2566 และได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ทำให้ทั้งสองบริษัทฯ ได้เดินหน้าขยายขอบเขตความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงนามในบันทึกความร่วมมือโครงการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการดำเนินการแปรสภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วเพื่อสร้างทรัพยากรใหม่ที่มีมูลค่าในรูปแบบ Closed-Loop

การลงนามความร่วมมือนี้ ไม่เพียงตอกย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนของทั้งสองบริษัทฯ แต่ยังยกระดับจากแนวคิดสู่การลงมือปฏิบัติจริง ถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า พัดลม โดยโฮมโปรจะเป็นผู้จัดหา-คัดแยกประเภทพลาสติกใช้แล้วจากโครงการ “แลกเก่าเพื่อโลกใหม่” (Trade In) ให้แก่ SCGC เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลผลิตเป็น Green Polymer คุณภาพสูง  ไปผลิตเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ เป็นสินค้ารักษ์โลก (Circular Product) ต่อไป ซึ่งพร้อมจำหน่ายช่องทางหน้าร้านและออนไลน์ ตั้งแต่ปลายเดือน กุมภาพันธ์ 2567 นี้ เป็นต้นไป”

ด้าน นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี
เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC
กล่าวว่า “เป็นมิติใหม่สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟ้ฟ้าและเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่สามารถรีไซเคิลพลาสติกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าใหม่ โดยยังคงคุณสมบัติเช่นเดิมด้วยนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ภายใต้แบรนด์ SCGC GREEN POLYMERTM  ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก GRS (Global Recycled Standard)  โดย SCGC ได้นำความเชี่ยวชาญด้าน Green Polymer และ Green Solution มาผนึกกำลังร่วมกับโฮมโปร ผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการรีไซเคิลในรูปแบบ Closed-Loop ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์ Circular Product ที่ใช้งานได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม ตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจและเจ้าของแบรนด์สินค้าที่มีแนวทางการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน เป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม  ช่วยสร้างคุณค่าใหม่ให้กับพลาสติกใช้แล้ว และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายประเทศไทยที่จะเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065”

“ด้วยระบบ Closed-Loop ภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เปลี่ยนผ่านวัตถุดิบที่ไม่ทำให้เกิดของเสีย และช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังสามารถต่อยอดเปลี่ยนของเหลือใช้ให้กลายเป็นสินค้าใหม่ที่มีมูลค่า ที่สำคัญคือ โฮมโปร และ เอสซีจีซี ได้ผสานความเชี่ยวชาญแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ตลอดจนกระบวนการที่สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรชั้นนำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน” นายวีรพันธ์ กล่าวสรุป

“อองฟองต์” ชวนครอบครัวรักษ์โลกทำภารกิจ “Enfant SOS” ปกป้องเต่าทะเลไทย เพื่อสร้างโลกน่าอยู่ให้เด็ก ๆ ในอนาคต

อองฟองต์” ผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์เด็กพรีเมียม ออกคอลเลกชันพิเศษ “Enfant SOS” ทั้งกลุ่มเสื้อผ้าและกลุ่มของใช้สำหรับเด็ก พร้อมเดินหน้าภารกิจเพราะรักลูกจึงต้องรักษ์โลก ในโครงการ “Enfant SOS : Save Our Sea Turtles อองฟองต์ ชวนน้องปกป้องเต่าทะเล” ชวนครอบครัวหัวใจรักษ์โลกร่วมกิจกรรม One Day Trip ปล่อยเต่าคืนสู่ธรรมชาติ ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล กองทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อปลูกฝังให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ในอนาคต โดยทุกยอดสั่งซื้อของผลิตภัณฑ์ในคอลเลกชันพิเศษ “Enfant SOS” มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูเต่าทะเล ป้องกันวิกฤตของสัตว์ทะเลที่มีบทบาทในระบบนิเวศทะเลไทย

            นางชุติมา ประเสริฐศรี ผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์เด็ก บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เผยถึงวิสัยทัศน์การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 แบรนด์ ‘อองฟองต์’ มุ่งมั่นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่และช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยจากรุ่นสู่รุ่น

ที่มากกว่านั้น คือ ผลิตภัณฑ์ของอองฟองต์ยังมีส่วนในการปกป้องดูแลโลกใบนี้ จากกระบวนการพัฒนาที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าเด็กที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ในขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล, ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิว โดยเฉพาะครีมกันแดดสูตรอ่อนโยนต่อผิวเด็กและปลอดภัยต่อปะการัง, Cotton Bud ก้านกระดาษที่ย่อยสลายได้และปลอดภัยต่อสัตว์ทะเล ฯลฯ

            “ด้วยแนวคิดการทำธุรกิจ เพราะ ‘รักลูก’ จึงต้องร่วมกัน ‘รักษ์โลก’ ได้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ สวยงาม เพื่อส่งต่อเป็นโลกที่น่าอยู่ของเด็ก ๆ รุ่นถัดไป อองฟองต์จึงมีความใส่ใจตลอดกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การเลือกสรรวัตถุดิบออร์แกนิคเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนถึงการป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกใช้งานแล้วไปสร้างผลกระทบในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะกับกลุ่มสัตว์สำคัญต่อระบบนิเวศทะเลไทยอย่าง เต่าทะเล ซึ่งกำลังประสบวิกฤตจากขยะพลาสติกที่มาจากการกระทำของมนุษย์” นางชุติมา กล่าว และกล่าวต่อไปว่า

“อองฟองต์จึงออกคอลเลกชันพิเศษ Enfant SOS” ทั้งกลุ่มเสื้อผ้าและกลุ่มของใช้สำหรับเด็ก โดยมีผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับการทำความสะอาด บำรุงผิว และปกป้องผิวจากแสงแดด สำหรับเด็กและทารก โดยคุณแม่สามารถคัดสรรผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับลูกน้อยได้อย่างเหมาะสมตามผิวของเด็กแต่ละช่วงวัย นอกจากนี้ยังได้สานต่อความตั้งใจร่วมกับพ่อแม่ ทุกยอดสั่งซื้อมีส่วนร่วมกับกิจกรรมครงการ Enfant SOS : Save Our Sea Turtles อองฟองต์ ชวนน้องปกป้องเต่าทะเล ที่จะพาทั้งครอบครัวหัวใจรักษ์โลกร่วมทำกิจกรรม One Day Trip ณ ศูนย์วิจัยเต่าทะเล กองทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมรอบพื้นที่อนุรักษ์เต่าทะเลไทย พร้อมเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความตระหนักรู้ของลูก ๆ ถึงภารกิจสำคัญในการดูแลรักษาโลกใบนี้”

โดยโครงการ Enfant SOS ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์วิจัยสัตว์ทะเล กองเรือสัตหีบ, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท. สำนักงานพัทยา) รวมถึงครอบครัวที่ให้ความสนใจเดินทางมาร่วมทำกิจกรรม ซึ่งประกอบด้วยการเฝ้าสังเกตและเรียนรู้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเต่าทะเล, ฟังบรรยายพิเศษ เรื่องราววงจรชีวิตเต่าทะเลจากเจ้าหน้าที่เพื่อให้เข้าใจความสำคัญของเต่าทะเลต่อระบบนิเวศ พร้อมแนวทางการแก้ไขต่อปัญหาที่เกิดขึ้น อาทิ ปัญหาขยะในทะเล การล่าสัตว์ อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม ส่งมอบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิว อุปกรณ์ เครื่องใช้ ปลอดภัยต่อทุกพื้นผิว ด้วยสารสกัดจากพืชธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อปลูกฝังให้เด็กๆ เกิดความใส่ใจในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับธรรมชาติ

            ด้านของ คุณบุ๋ม ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี ตัวแทนของคุณแม่ครอบครัวหัวใจรักษ์โลก ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม กล่าวว่าด้วยประสบการณ์ที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับสภาพปัญหาทางทะเลไทยในด้านต่าง ๆ  ทำให้ตนได้เห็นภัยคุกคามที่เกิดกับเต่าทะเลมาอย่างมากมาย ซึ่งการเข้าร่วมกับกิจกรรม Enfant SOS กับอองฟองต์ครั้งนี้ ได้ตอบสนองต่อความรู้สึกในฐานะของแม่ที่อยากให้ลูก ๆ และเด็ก ๆ ทุกคนได้เติบโตและใช้ชีวิตบนสิ่งแวดล้อมที่ดี และยังเป็นโอกาสดีที่ตนจะได้เป็นกระบอกเสียงให้ผู้คนได้รู้ถึงมุมมองปัญหาที่กำลังเกิดกับเต่าทะเล รวมไปถึงวิธีการมีส่วนร่วมในภารกิจปกป้องระบบนิเวศท้องทะเลไทยที่ทุกครอบร่วมแรงกันได้ง่าย ๆ เช่น การแยกขยะก่อนทิ้ง หรือใช้สิ่งของที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

            อีกทั้ง ในปี 2567 นี้ อองฟองต์ยังได้เดินหน้าภารกิจรักษ์โลกในด้านต่าง ๆ อาทิ การออกแบบบรรจุภัณฑ์รีฟิลที่เน้นการใช้ซ้ำเพื่อลดปริมาณขยะ พร้อมออกแบบบรรจุภัณฑ์คอลเลกชันใหม่ ภายใต้โครงการ Enfant SOS ที่ช่วยสร้างความตระหนักรู้การอนุรักษ์เต่าทะเลให้กับเด็กไทยทั่วประเทศ โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์จะนำไปบริจาคให้แก่หน่วยงานเพื่อการอนุรักษ์เต่าทะเล ตอกย้ำถึงการเดินหน้า ‘ภารกิจของเราทุกคน’ เพื่อร่วมกันปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ สร้างโลกที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนเพื่ออนาคตของลูกหลานต่อไป

ผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ “อองฟองต์” สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เคาน์เตอร์อองฟองต์ แผนกเด็ก ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เซ็นทรัล โรบินสัน, เดอะมอลล์, และทุกช่องทางออนไลน์ภายใต้ชื่อบัญชี “@enfantmomclub”, หรือติดต่อศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ (Call Center) อองฟองต์ โทร. 02-296-9980 ทุกวัน เวลา 7.00 – 22.00 น.

“ชญาดา บิซ เพลส” (Chayada Biz Place) ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ ไอเดียใหม่ สมดุลของชีวิตและการทำงาน บนทำเลที่ดีที่สุด เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท

“สวอน เอสเตท” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ “ชญาดา บิซ เพลส” (Chayada Biz Place) ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดพร้อมความโดดเด่นรอบด้าน รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน ด้วยดีไซน์ฟังก์ชันการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง บนแนวคิดทำให้ลูกค้าพึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามที่ต้องขาย ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท

            นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ ‘การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย’ จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที

            ทั้งนี้ เมื่อนำเอาเทรนด์การซื้อบ้านมาผนวกกับกลยุทธ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ได้ทำให้ คุณเทธดา ผลักดันโครงการใหม่ในชื่อ ‘ชญาดา บิซ เพลส’ (Chayada Biz Place) ขึ้นมา โดยมุ่งเน้นลูกค้าหลักที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี ที่มีการศึกษาดี ความรู้ความชำนาญ สามารถทำงานหรือบริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้ไปได้ไกลถึงเป้าหมาย โครงการดังกล่าวจึงมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น ‘ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด’ บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นทีสมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม

“แนวคิดหลักของ ชญาดา บิซ เพลส คือทำบ้านให้ลูกค้า ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ชญาดา บิซ เพลส มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว

            สำหรับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ที่ตัวบ้านและผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxury โดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูสีขาวขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมสวนและต้นไม้ใหญ่ไว้ จะเห็นตัวอาคารที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น

  • จุดเด่นที่ตัวโครงการ เพราะเป็นการผสานกันระหว่าง ทาวน์โฮม กับ โฮมออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘ทาวน์โฮมสไตล์โฮมออฟฟิศ’ บนทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ ข้อดีทาวน์โฮมที่ไม่ใช่อาคารพาณิชย์คือลูกค้าสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารในเงื่อนไขเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า กู้ได้มากกว่าและนานกว่าการกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
  • จุดเด่นที่ทำเลที่ตั้ง ตัวโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ และยังได้เปรียบในแง่ทำเลการขาย-ทำธุรกิจที่เข้าถึงง่าย จดจำง่ายอีกด้วย
  • จุดเด่นที่เป็นโครงการใหม่ มีบรรยากาศรายล้อมด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ Panoramic Gaden View ที่กว้างสุดสายตา และพื้นที่ Clubhouse สไตล์โมเดิร์น รองรับการผ่อนคลายจากช่วงเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำธุรกิจที่ช่วยสร้างภาพจำดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้มาเยือน
  • จุดเด่นเรื่องที่จอดรถ ภายในโครงการมี Convenient Parking Lot ที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน เป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน รวมไปถึงที่จอดนอกโครงการ ซึ่งสามารถรองรับกับลูกบ้านและแขกคนสำคัญที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมหรือการสันทนาการ เพื่อสร้างช่วงเวลาดี ๆ ได้เป็นอย่างดี
  • จุดเด่นเรื่องฟังก์ชัน ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จากรูปแบบ 3.5 ชั้น ที่นำครึ่งชั้นนี้ไปมอบให้กับห้องมาสเตอร์ แบบ Double Volume จนกลายเป็นห้องที่โอ่โถงและกว้างขวางสมเป็นห้องของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง รวมถึงมีฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น Smart Security หรือ Double-gated Security ที่คอยปกป้องดูแลและสอดส่องเฝ้าระวังอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง
  • จุดเด่นเรื่องวัสดุก่อสร้างและคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว พร้อมแนวทางที่จะไม่ลดทอนคุณภาพจากราคาวัสดุเพื่อชดเชยค่าที่ดินที่สูงขึ้นกว่าโครงการอื่น ๆ

นอกจากนี้ ชญาดา บิซ เพลส ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน

“ความสำเร็จในบริบทของ ชญาดา บิซ เพลส เรายังมองรวมไปถึงการต่อยอดการสร้าง Passive Income ที่เหมาะสมกับด้านการลงทุน ซึ่งเรามั่นใจว่าลูกค้าโครงการจะสร้าง Yield 5% และ Capital Gain 6% ได้อย่างแน่นอน จากศักยภาพระดับสูงทั้ง 4 ด้าน คือ HIGH POTENTIAL การก่อสร้างคุณภาพดี สวยงามทันสมัย ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า, HIGH LIQUIDITY คล่องตัวทางการเงินขายต่อได้ง่าย, HIGH YIELD สามารถสร้างรายได้ คือปล่อยเช่าง่ายและได้ราคาเช่าที่ดี สุดท้ายคือ HIGH PROFIT คือต้องสามารถทำกำไรได้ดีเมื่อต้องการขาย

“ด้วยความพิถีพิถันที่บริษัทฯ ได้เก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาโครงการฯ อย่างดีที่สุด ทำให้มั่นใจได้ว่า ชญาดา บิซ เพลส จะสามารถปิดโครงการได้ในเวลาไม่เกิน 2 ปี ซึ่งเมื่อหลังจากขายบ้านได้เกินกว่า 50% แล้ว เราจะเริ่มดำเนินการตามเป้าหมายในอีก 3-5 ปีของบริษัทฯ ด้วยการสำรวจตลาดและศึกษาความเป็นไปได้เตรียมพร้อมสำหรับโครงการถัดไป โดยคงกลยุทธ์การพัฒนาให้ความสำคัญกับทำเลเป็นด่านแรก และเรายังมองถึงการซื้อที่ดินแปลงใหม่ เพื่อให้มีความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในขณะนั้นได้ในทุกมิติ” คุณเทธดา เสริมในตอนท้าย

ทั้งนี้ ในปี 2565-2566 บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด ได้มีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ จากการเลือกพัฒนาโครงการโดยเน้นทำเลและคุณภาพเป็นหัวใจสำคัญ ทำให้สามารถขายได้อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและยึดมั่นในกลยุทธ์การพัฒนาที่สัมฤทธิ์ผล ส่วนในปี 2567 นี้ ด้วยสภาวะเศรษฐกิจไทยและทั่วโลกยังมีความไม่แน่นอน ทำให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้องดำเนินนโยบายแบบประคองตัวไม่เน้นที่การเติบโต และต้องแข่งขันเพื่อแย่งลูกค้าที่มีอยู่จำกัด แต่อย่างไรก็ตาม นับเป็นผลประโยชน์ที่ตกไปยังผู้บริโภค ที่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้ซื้ออสังหาฯ ในราคาที่เพิ่มในอัตราที่ช้าลงอย่างมาก ซึ่งส่วนของโครงการ ชญาดา บิซ เพลส ที่อยู่ในตลาดบ้านทาวน์โฮม จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้บริโภค เพราะเป็นจุดสมดุลระหว่างคอนโดมิเนียมกับบ้านเดี่ยว โดยมีจุดแข็งที่ราคาไม่แพงแต่ได้ทำเลดีกว่าบ้านเดี่ยว และไม่ต้องลุ้นกับสถานการณ์โอเวอร์ซัพพลายเหมือนคอนโดมิเนียมนั่นเอง

KARMART เดินเกมบุกปี 67 ดันรายได้ทะลุ 3,600 ล้านบาทประกาศรุกคืบตลาดความงามหวังเคลมเบอร์ 1 ทุกหมวดสินค้า พร้อมขนทัพนวัตกรรมใหม่ร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024

KARMART กางแผนปี 2567 ทะยานรายได้สู่ 3,600 ล้านบาท หลังจบปี 2566 สดใสตามเป้า ลั่น! ขอขึ้นแท่นนัมเบอร์วันทุกหมวดสินค้าในตลาดความงาม พร้อมดันบริษัทสยายปีกครองแชมป์อาเซียน แย้ม Q2 เตรียมเปิดสินค้าระดับ Premium ลุยตลาดญี่ปุ่น จ่อขนทัพสินค้านวัตกรรมใหม่ร่วมงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 ดึงพาร์ทเนอร์ใหม่เต็มสูบ

นายวงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการบริษัท กรรมการบริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ KARMART เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในปี 2566 เป็นไปตามแผนที่วางไว้คือประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยการเติบโตมาจากแทบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ เครื่องสำอาง, เพอร์ซันนอล แคร์, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม อาหารเสริม และเครื่องหอมปรับอากาศภายในบ้าน

สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 มีเป้าหมายที่จะผลักดันรายได้สู่ 3,600 ล้านบาท โดยจะให้ความสำคัญกับการกลับมาทบทวนดูแบรนด์ต่างๆ ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความยั่งยืนทางด้านยอดขาย โดยเฉพาะเรื่องของการใช้นวัตกรรมและการพัฒนาสินค้าใหม่ให้ตอบโจทย์ลูกค้าดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับบรรจุภัณฑ์ การรีแบรนด์ดิ้งให้มีความทันสมัยและสดใสมากขึ้น รวมถึงคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ที่ถูกคิดมาได้อย่างน่าสนใจ และตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

นายวงศ์วิวัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้าหลังจากได้พันธมิตรอย่าง บริษัท มารุเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Marubeni Corporation) จากประเทศญี่ปุ่นว่า ขณะนี้ได้มีการนำสินค้าแบรนด์ไทยเข้าไปทดลองทำตลาดต่างประเทศแล้ว ได้แก่ แบรนด์เคที่ดอลล์ (Cathy Doll) แบรนด์เบบี้ไบรท์ (Baby Bright) และแบรนด์รื่นรมย์ (Reunrom) รวมถึงยังอยู่ระหว่างการพัฒนาสินค้าร่วมกันที่จะผสานความเป็นไทยและญี่ปุ่น เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะเป็นกลุ่มเวชสำอางระดับพรีเมียม พร้อมทำตลาดในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 นี้

ด้าน นายพงศ์วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานตลาดและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริษัท คาร์มาร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้ขยายธุรกิจของบริษัทฯ ไปสู่พันธมิตรทางการค้าใหม่ๆ คือการออกงานจัดแสดงสินค้าต่างๆ โดย งาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2024 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2567 นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก็นับเป็นงานสำคัญที่ผู้เข้าร่วมงานจะได้เห็นถึงนวัตกรรมด้านความงาม ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ตอบโจทย์ครบจบในงานเดียว โดยบริษัทฯ เองก็เตรียมนำสินค้านวัตกรรมใหม่ไปนำเสนอผ่านการจัดงานดังกล่าวอีกด้วย

และในปี 2567 นี้ นอกเหนือจากการพลิกโฉมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น KARMART ยังมีเป้าหมายสำคัญในการผลักดันแบรนด์สินค้า ให้ก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของตลาดในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ ผลิตภัณฑ์กันแดด จะมีแบรนด์ “Cathy Doll” เป็นเรือธงในการลงสนามเพื่อทำตลาด ขณะที่กลุ่มดูแลริมฝีปากหรือลิปบาล์มจะมีแบรนด์ “Lip It by Nisamanee” เป็นแฟลกชิปของการทำตลาด เสริมทัพด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมจากแบรนด์ “Hair it by Saypan” เข้ามาแข่งขันในตลาด รวมถึงเวชสำอางดูแลจุดซ่อนเร้น แบรนด์ “INTIMI” และกลุ่ม Lip Tint โดยแบรนด์ CATCHY NESTY เป็นต้น

ส่วนโอกาสของตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทยนั้น ต้องบอกว่ายังมีโอกาสอีกมาก จากมูลค่าตลาดเครื่องสำอางกว่า 2 แสนล้านบาท จะเห็นว่ามาร์เก็ตแชร์ของบริษัทยังน้อยมาก ถ้าเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ ส่วนตัวเห็นว่าตลาดจะมีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจได้อีกนับสิบปี

นายพงศ์วิวัฒน์ กล่าวอีกว่า “เพื่อสร้างรากฐานให้กับแบรนด์และการเติบโตของบริษัท ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นบริษัทฯ ความงามที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย และขึ้นสู่การเป็นที่หนึ่งในอาเซียน ภายใน 10 ปีนี้ให้ได้นั้น สิ่งสำคัญคือเราจะต้องมีความเข้าใจตลาดในแต่ละประเทศให้ดี เพราะลูกค้าในแต่ละพื้นที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน และเราจะไม่ไปแข่งขันกับสิ่งที่เรายังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างแน่ชัด เราจึงเริ่มจากการจัดจำหน่ายหมวดสินค้าที่มีความแข็งแกร่งหรือเป็นจุดแข็งของบริษัทฯ ผ่านพาร์ทเนอร์ตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพพร้อมที่จะเติบโตไปด้วยกัน และพร้อมที่จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนให้แบรนด์ของเราไปเติบโตและขยายเข้าไปในพื้นที่ที่เราต้องการได้”

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ อาจจะยังชะลอตัวอยู่บ้าง เนื่องจากปัจจัยลบหลายด้านทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของหนี้ครัวเรือนและหนี้ส่วนบุคคลเองก็ยังมีแนวโน้มที่ไม่ดีขึ้น มองว่าความต้องการจับจ่ายใช้สอยยังคงมี แต่เงินให้การจับจ่ายอาจจะจำกัดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการในตลาดความงามต้องปรับกลยุทธ์ด้วยการลดขนาดบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อทำให้ราคาลดลงจนผู้บริโภคมีกำลังในการจับจ่ายได้  ซึ่งเรื่องของกำลังซื้อก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ในฐานะผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้สอดรับกับกำลังทรัพย์ผู้บริโภคที่มี ผ่านกลยุทธ์ต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลทางด้านยอดขาย 

แถลงข่าวจัดงาน Kind + Jugend ASEAN 2024(คินอันยูเก้น อาเซียน) งานแสดงสินค้านานาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์และของใช้จำเป็นสำหรับแม่และเด็กแห่งภูมิภาคอาเซียน

นายภูษิต ศศิธรานนท์ ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล
เน็ทเวอร์ค พร้อมด้วย นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้า ร่วมแถลงข่าว
จัดงาน Kind + Jugend ASEAN 2024 (คินอันยูเก้น อาเซียน) งานแสดงสินค้านานาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์และของใช้จำเป็นสำหรับแม่และเด็กแห่งภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฮอลล์ 5-6 กรุงเทพฯ โดยเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการ เจ้าของแบรนด์ หรือผู้นำเข้าที่ต้องการสินค้าแม่และเด็กพรีเมี่ยมได้มาจับคู่ธุรกิจภายใต้ “Business Matching Programme” พร้อมติดอาวุธด้วยหัวข้อสัมมนาดี ๆ เน้นโอกาสทางธุรกิจของสินค้าแม่และเด็ก คาดเม็ดเงินสะพัดภายในงานไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมี ดร.ชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ, นายดวงเด็ด ย้วยความดี ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และ
นายสุวรงค์ วงษ์ศิริ รองผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.)
ร่วมแถลงข่าว ณ โรงแรมสกายวิว กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

รพ.พระรามเก้า จัดแคมเปญสุด Exclusive “แพ็กตรวจสุขภาพในเดือนเกิด ลดหนัก 70%” ตลอดปี 67

นายแพทย์วิทยา วันเพ็ญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระรามเก้า นำทีมเปิดแคมเปญยักษ์ตลอดปีมังกร “Package Happy Birthday Program” โปรแกรมตรวจสุขภาพสุด Exclusive ในคอนเซ็ปต์ Happy Birthday วันเกิดทั้งที เราอยากให้คุณมีสุขภาพดีไปนานๆ” รับสิทธิ์ 2 ต่อ ส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพ 70 % และ ชวนเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัวรับสิทธิ์ส่วนลดแพ็กเกจตรวจสุขภาพได้ในราคาเดียวกัน เพื่อมอบเป็นของขวัญเกิดสำหรับผู้ที่มาใช้บริการตรวจสุขภาพในเดือนเกิดของท่านตลอดทั้งปี 2567 โดยมี นางสาวสุณิตรา สุทธากร รองผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ โรงพยาบาลพระรามเก้า เมื่อวันเร็วๆ นี้

“HOMEPRO HOMECARD DAY” เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะลูกค้าโฮมโปร ช้อปได้ดั่งใจ สินค้าลดแรงสูงสุด 28% ที่โฮมโปรทุกสาขา และออนไลน์ เริ่ม 24 ก.พ. 67 นี้

สมาชิกโฮมการ์ด เตรียมเฮ !! “HOMEPRO HOMECARD DAY” รวมสิทธิพิเศษ มาให้คุณช้อปได้ดั่งใจ !! สมัครโฮมการ์ดใหม่.. รับคูปองส่วนลดเพิ่มทันที 100 บาท พร้อมรับคะแนนโฮมการ์ด POINT x3 สำหรับลูกค้าสมาชิกรับจัดเต็มสิทธิพิเศษสุดคุ้ม ลดแรงสองต่อ ลดเพิ่มสูงสุด 28% !! ต่อที่ 1 ลดเพิ่ม 25% เมื่อซื้อสินค้าแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ร่วมรายการ และต่อที่ 2 ใช้คู่กับบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลดอีกทันที 3% (ตั้งแต่บาทแรก) พร้อมคุ้มค่าต่อเนื่อง รับเงินคืนกำไรเข้าโฮมโปร วอลเล็ต สูงสุด 15,500 บาท ช้อปปุ๊ป..คืนเงินทันที 500 บาท (เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป/ใบเสร็จ) และรูดเต็มจำนวนผ่านบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม รับเงินคืนสูงสุดอีก 15,000 บาท ความพิเศษยังไม่หมดเท่านี้ !! ลดแรงอีกต่อสำหรับสมาชิกที่ใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อ ลดเพิ่ม 12.5% (เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 3,000 บาท) และใช้คู่กับคะแนนบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ลดเพิ่ม 13% รวมสูงสุด 25% พร้อมรับความสบาย ผ่อนง่ายๆ 0% นานสูงสุดถึง 24 เดือน (เฉพาะบัตรสินเชื่อและสินค้าที่ร่วมรายการ)

พบกันวันโฮมการ์ดเดย์ ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศและออนไลน์

ตั้งแต่ 24 – 26 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ 3 วันเท่านั้น !!

#HomeProHomeCardDay #HomeCard #เรื่องบ้านโฮมโปรคือคำตอบ #โฮมโปร #HomePro #homeprothailand #Homepropr

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร ผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจบนยุทธศาสตร์ความยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

Website : https://www.homepro.co.th

Facebook : https://www.facebook.com/homeprothailand

“ธุรกิจเกษตรภัณฑ์” ชูนวัตกรรม และโซลูชั่นวิศวกรรมการจัดการต้นทุน เข้าร่วมงาน VICTAM Asia 2024 ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 67 นี้

ธุรกิจเกษตรภัณฑ์ บริษัทของคนไทย ที่ให้บริการด้านวิศวกรรมอย่างครบวงจร ในธุรกิจ Feed Farm Food Green Tech มาพร้อมด้วยเทคโนโลยีและการจัดการชั้นนำระดับโลก เข้าร่วมงาน VICTAM Asia 2024 ระหว่างวันที่ 12-14 มีนาคม 67 นี้ ณ ไบเทคบางนา นำเสนอนวัตกรรม และโซลูชั่นช่วยลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า และเกษตรกรไทย

นายบรรจง ชวลิตเรืองฤทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจเกษตรภัณฑ์ หรือ KASETPHAND GROUP กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่มีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ และมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบทางลบพอสมควร โดยเฉพาะฟาร์มสุกร ซึ่งในช่วงหลายปีมานี้ จะเห็นได้ว่าภูมิภาคอาเซียน และภูมิภาคอื่นๆ มีการขยายกำลังการผลิตสุกรค่อนข้างมาก เมื่อทุกคนขยายร่วมกันทำให้ตลาดเกิด Over Supply ส่งผลทำให้ราคาเนื้อหมูตกต่ำ ส่วนสถานการณ์ฟาร์มสัตว์ปีกในประเทศไทยเองยังมีการนำเข้าเสรีของเนื้อไก่แช่แข็ง ซึ่งธุรกิจการเลี้ยงสัตว์จะต้อง Balance ระหว่าง Demand กับ Supply เมื่อไหร่ก็ตามที่ซัพพลายมีไม่จำกัด การปรับราคาก็เป็นไปได้ยาก สิ่งที่เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีกจะต้องแข่งขันกันก็คือการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพกว่าก็จะชนะในธุรกิจนี้

ขณะที่ฟาร์มกุ้งของไทยเองก็ประสบปัญหาเรื่องการนำเข้ากุ้งจากต่างประเทศโดยเฉพาะจากประเทศเอกวาดอร์ ซึ่งราคาต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าของประเทศไทย ที่สำคัญกุ้งจากเอกวาดอร์กระจายไปทั่วโลกทำให้หลายประเทศก็ประสบปัญหานี้คล้ายๆ ประเทศไทย   นอกจากเรื่องการ Balance ระหว่าง Supply กับ Demand แล้วอุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์ยังต้องเจอกับสถานการณ์โรคระบาดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทำให้เรามองว่าภายใน 1 ปีนี้อุตสาหกรรมกุ้งยังคงเผชิญกับปัจจัยที่ท้าท้ายนี้อยู่ แต่ยังสามารถประคับประคองธุรกิจไปได้ และในปี 2568 ก็น่าจะกลับมาเริ่มดีขึ้น

พร้อมบริการนวัตกรรมช่วยเหลือเกษตรกรไทย

นายบรรจง กล่าวต่อว่า ธุรกิจเกษตรภัณฑ์ เป็นบริษัทของคนไทย ที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมากกว่า 50 ปี ให้บริการด้านวิศวกรรมอย่างครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง การผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์พร้อมติดตั้ง การสรรหาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ตลอดจนวิศวกรรมบริการหลังการขาย ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ทั้งสัตว์บก สัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง (Feed), ระบบจัดเก็บและลำเลียงวัตถุดิบ อาทิ ข้าวโพด กากถั่วเหลือง (Grain Management System), ฟาร์มเลี้ยงสัตว์และอุปกรณ์การเลี้ยง (Farm), โรงงานแปรรูปอาหารและผลิตอาหารสำเร็จรูป (Food) รวมถึงการให้บริการด้านพลังงานทางเลือกและเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Technology)

นอกจากธุรกิจหลักนี้แล้ว ในช่วงปีที่ผ่านมา ธุรกิจเกษตรภัณฑ์ขยายหน้ากว้างสร้างโอกาสต่อยอดศักยภาพที่เรามีเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ได้แก่ ธุรกิจโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันพืช ธุรกิจคลังสินค้าครบวงจร และมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะต่างประเทศ

“แม้ว่าเราจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แต่ด้วยความเข้าใจในธุรกิจและให้ความสำคัญอย่างมากในการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด มีทีมงานที่เข้มแข็ง มีความเข้าใจความต้องการของลูกค้า รวมถึงการมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจไปอย่างต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เราเติบโตได้ ซึ่งก็มีความเชื่อมั่นว่าในอนาคต เราจะสามารถสร้างยอดขายส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศเป็นหลัก” 

นายบรรจง กล่าวอีกว่า ธุรกิจเกษตรภัณฑ์  ได้เข้าร่วมงาน VICTAM Asia 2024 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 12-14 มีนาคม 2567 นี้ ที่ไบเทคบางนา เรามุ่งเน้นในการนำเสนอโซลูชั่นสำหรับธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจรด้วยเทคโนโลยีวิศวกรรมที่ออกแบบได้ตามต้องการ  ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่า มุ่งมั่นร่วมสร้างธุรกิจของลูกค้าและผู้ลงทุนให้ประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน ดั่งปณิธานของเกษตรภัณฑ์ “ลูกค้าสำเร็จ เราสำเร็จ”

สำหรับสินค้าที่จะนำไปจัดแสดง ได้แก่ เทคโนโลยีการก่อสร้างโรงงานอาหารสัตว์ ระบบจัดเก็บและลำเลียงวัตถุดิบ เครื่องจักรและผลิตภัณฑ์อะไหล่ ตลอดจนวิศวกรรมบริการหลังการขาย ด้วยแพลตฟอร์มการตรวจสอบสภาพเครื่องจักรและการซ่อมบำรุง(PM/CM) การจัดการสต็อกอะไหล่ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่าเราสามารถช่วยให้การผลิตดำเนินได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

“นอกจากนี้ อีกไฮไลต์สำคัญ เราจะแสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างครบวงจร เพื่อประสิทธิภาพตลอดกระบวนการของธุรกิจอาหารสัตว์ ตั้งแต่เทคโนโลยีการผลิตวัตถุดิบข้าวโพดอาหารสัตว์, การจัดการของเสียและการผลิตเชื้อเพลิงชีวมวล(Biomass)จากซังข้าวโพด, ไซโลไฟเบอร์กลาสสำหรับจัดเก็บอาหารสัตว์คุณภาพสูง, ระบบลำเลียงอาหารแบบอัตโนมัติเข้าสู่ฟาร์ม, รถขนส่งอาหารสัตว์ที่คำนึงถึงระบบ Biosecurity และสำหรับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจครบวงจรทั้งโรงงานอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และโรงงานแปรรูป เรายินดีต้อนรับและให้คำปรึกษา ด้วยบริการที่ครบวงจร One Stop Service ให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างนวัตกรรมและการเติบโต เคียงคู่ไปพร้อมกับลูกค้าอย่างยั่งยืน”