ซูเลียน ยกทัพสมาชิกกว่า 300 คน บินลัดฟ้าสู่ไต้หวันตอกย้ำความสำเร็จของกองทุนท่องเที่ยว ด้วยการเดินทางสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าตอกย้ำความสำเร็จครั้งใหญ่ พร้อมมอบรางวัลพิเศษให้แก่สมาชิกที่ทุ่มเทและผ่านคุณสมบัติกองทุนท่องเที่ยวต่างประเทศ (Travel Incentive Fund) ด้วยการจัดทริปสุดหรูไปยังประเทศไต้หวัน เพื่อเป็นการตอบแทนความสำเร็จและการทำงานทุ่มเทของนักธุรกิจซูเลียน ทริปสุดพิเศษนี้ไม่เพียงแต่เป็นการฉลองความสำเร็จของสมาชิกเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของซูเลียนในการมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้ที่ทุ่มเทในกองทุนท่องเที่ยว ทำให้สมาชิกกว่า 300 คน ได้มีโอกาสสัมผัสกับวัฒนธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามของไต้หวัน ในบรรยากาศสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการตอบแทนความทุ่มเทของสมาชิกทุกท่าน แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จของกองทุนท่องเที่ยวที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมเรามีความภาคภูมิใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษนี้ให้แก่สมาชิกทุกท่านที่ช่วยสร้างความสำเร็จให้กับเรา ซึ่งเราภูมิใจที่ได้พาสมาชิกซูเลียนกว่า 300 ท่าน มาสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในครั้งนี้ ทุกคนทำงานหนักและมุ่งมั่นเพื่อบรรลุเป้าหมายและเราต้องการตอบแทนความสำเร็จของพวกเขาด้วยประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟนี้เราหวังว่าทริปนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนก้าวสู่เป้าหมายใหม่ในปีต่อไป และซูเลียนจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนสมาชิกทุกท่านให้ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน”

บรรยากาศการเดินทางทริปนี้ เป็นไปอย่างพิเศษและอบอุ่นสุดๆ โดยมีการนำทีมโดย ดร.ปิยะวัฒน์ จุลล์จักรวงศา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมผู้บริหารระดับสูง พร้อมด้วย ณัฐชานนท์ จุลล์จักรวงศา (CMO), ภูมิวรพล จุลล์จักรวงศา (COO กัมพูชา), วลัญช์ภร จุลล์จักรวงศา (ผู้จัดการฝ่ายการตลาดระดับภูมิภาค),         ธนเมศฐ์ จุลล์จักรวงศา (ผู้จัดการฝ่ายการตลาด) พร้อมพาสมาชิกซูเลียนกว่า 300 ท่าน ร่วมเปิดประสบการณ์การเดินทางสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

เริ่มต้นความสนุกด้วยการตะลุยแลนด์มาร์คสุดฮิตของไต้หวัน เริ่มต้นการเดินทางด้วยการเยี่ยมชมอุทยานธรณีเย่หลิว ไฮไลต์สำคัญคือ “หินเศียรราชินี” อันโด่งดังที่มีอายุกว่า 100 ปี ก่อนเข้าร่วมกิจกรรมสุดพิเศษ ปล่อยโคมขอพรตามประเพณีไต้หวัน เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลและโชคดี ต่อด้วยการจิบชาอู่หลงแท้ๆ ในโรงน้ำชาชื่อดัง พร้อมดื่มด่ำกับเสน่ห์แห่งไต้หวัน ปิดท้ายวันแรกด้วยการเดินเล่นที่ถนนโบราณจิ่วเฟิ่น แหล่งรวมร้านค้าของกินขึ้นชื่อ

สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ สมาชิกซูเลียนได้รับเกียรติเข้าเยี่ยมชมรัฐสภาไต้หวันในฐานะแขกพิเศษ ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก พร้อมเสริมสิริมงคลที่วัดซานชิงกง รับน้ำมนต์จากเทพมังกรเสริมดวงเฮง ก่อนเดินทางสู่โรงกลั่นเหล้า Kavalan แหล่งผลิตวิสกี้ระดับโลก เรียนรู้กระบวนการผลิตและสัมผัสรสชาติสุดพรีเมียมด้วยตัวเอง

ขอพรความสำเร็จ เช็คอินสะพานแห่งความรัก เอาใจสมาชิกสายมูพาไหว้พระที่วัดหลงซาน วัดเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของไทเป ต่อด้วยการเดินทางสู่สะพานแห่งความรักตั้นสุ่ย จุดชมวิวสุดโรแมนติกที่มีชื่อเสียงของไต้หวัน ให้ทุกท่านได้สัมผัสบรรยากาศอันงดงาม

มาเที่ยวไต้หวันทั้งที นักธุรกิจซูเลียนต้องไปเช็คอินแลนด์มาร์คสำคัญ เยี่ยมชมอนุสรณ์สถานเจียง ไคเชค สถานที่ประวัติศาสตร์สำคัญของไต้หวัน และต่อด้วยการเช็คอินที่ตึกไทเป 101 ตึกที่สูงที่สุดในไต้หวัน สูงถึง 508 เมตร อีกหนึ่งจุดที่ต้องมาเก็บภาพความประทับใจ

ปิดท้ายทริปสุดหรู ณ บ้านพักอดีตประธานาธิบดีเจียง ไคเชค! สัมผัสบรรยากาศสวนสวยสไตล์ยุโรป เงียบสงบ และโรแมนติก เหมาะแก่การพักผ่อน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย

หากคุณต้องการสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษแบบนี้กับเรา อย่ารอช้า! เข้าร่วมเป็นสมาชิก      ซูเลียน เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยโอกาส ร่วมเดินทางสู่ความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร และเป็นส่วนหนึ่งของความภาคภูมิใจในการสร้างอนาคตที่ดีกับซูเลียน

“ไอโมด พลัส” ขึ้นแท่นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตเครื่องประดับกวาดรายได้กว่า 70 ล้าน ในปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้า 120 ล้าน ในปี 2568

บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ผู้จำหน่ายและให้บริการเครื่องจักรในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ ประกาศความสำเร็จในการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ในปี 2567 กวาดรายได้กว่า 70 ล้าน พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี AI เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเครื่องประดับ พร้อมตั้งเป้ารายได้ที่ 120 ล้านในปี 2568 โดยใช้กลยุทธ์“ให้บริการอย่างจริงใจ ยึดมั่นความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง”

นางสาวรุ่งอรุณ  สุวรรณชาโต กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอโมด พลัส จำกัด ได้กล่าวว่า บริษัท เริ่มต้นธุรกิจในปี 2550 โดยการให้บริการรับยิงเลเซอร์บนโลหะ โดยในปีแรกที่เริ่มต้นธุรกิจ บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่หลังจากนั้นมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทางบริษัทจึงตัดสินเปลี่ยนแนวธุรกิจจากงานบริการ เป็นจำหน่ายเครื่องจักร โดยมุ่งเน้นการเป็นผู้ให้บริการที่สามารถนำเสนอการใช้เครื่องจักรในกระบวนการผลิตเครื่องประดับได้อย่างครบวงจร

นางสาวรุ่งอรุณ สุวรรณชาโต กล่าวต่อว่า ในปี 2553 บริษัทเริ่มเข้าสู่การจำหน่ายเครื่องจักรและพัฒนาแนวทางการขายใหม่ โดยเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาเครื่องจักรให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ปัจจุบัน บริษัท ไอโมด พลัส มีลูกค้าหลักเป็นบริษัทเครื่องประดับและสถาบันการศึกษา  สัดส่วนไทย 90% ต่างประเทศ 10%

ภาพรวมธุรกิจของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% แต่ในปี 2567 บริษัทเติบโตสูงขึ้นถึง 40% โดยมียอดรายได้กว่า 70 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2568 ที่ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางด้านเครื่องจักรของอุตสาหกรรมเครื่องประดับในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ช่วยให้การผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และลดการใช้แรงงาน โดยเฉพาะในการควบคุมคุณภาพ

ในด้านการทำตลาด บริษัทได้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok และ Line  เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่การขายยังเน้นแบบออฟไลน์ เนื่องจากความเป็นนวัตกรรม จึงจำเป็นต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า โดยบริษัทมีแผนการออกงานแสดงสินค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในตลาดเอเชีย เช่น กัมพูชา ลาว อินโดนีเซีย พม่า และเวียดนาม ซึ่งในปีนี้เราได้เข้าร่วมงาน Jewellery & Gem ASEAN Bangkok 2025 (JGAB) งานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23-26 เมษายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

โดยการเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้พบปะและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจกับพันธมิตรใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนำเสนอสินค้าคุณภาพระดับโลกให้กับผู้ซื้อ นักลงทุน และผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เราคาดหวังว่างาน JGAB 2025 จะเป็นเวทีที่ช่วยส่งเสริมศักยภาพของ ประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับในระดับสากล เราพร้อมนำเสนอนวัตกรรมการออกแบบ เทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำสมัย และมาตรฐานคุณภาพระดับสูง เพื่อช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอัญมณีไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอัญมณีและเครื่องประดับในภูมิภาคอาเซียน

GAC เผยโฉม AION UT และ M8 PHEV ครั้งแรกในไทย พร้อมประกาศนโยบาย ONE GAC ในงาน Motor Show 2025

กรุงเทพฯ – วันที่ 24 มีนาคม 2568) GAC ผู้นำด้านยานยนต์อัจฉริยะระดับโลก เผยโฉม AION UT และ M8 PHEV อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมประกาศนโยบาย ONE GAC ซึ่งเป็นแนวทางการบริหารระดับโลกเพื่อยกระดับโครงสร้างองค์กรให้แข็งแกร่งและเป็นหนึ่งเดียว ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ที่กำลังจัดขึ้น ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ซึ่งเปิดฉากขึ้นตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2025 GAC ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยการเผยโฉม AION UT รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุด และ M8 PHEV รถยนต์ MPV เครื่องยนต์ Plug-in Hybrid เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยนอกจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่แล้ว GAC ยังได้จัดแสดงนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยี Intelligent Flying Car ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์แห่งอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงานคือการประกาศนโยบาย ONE GAC 2.0 ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ในการบริหารองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการสร้างเอกภาพของแบรนด์ GAC AION ในทุกตลาดทั่วโลก ภายใต้นโยบายนี้ GAC Group กำลังเดินหน้าขยายตลาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย GAC มุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก

คุณ Mr. WAYNE WEI – ประธานกรรมการบริหาร GAC INTERNATIONAL ได้กล่าวว่า “GAC มุ่งมั่นดำเนินกลยุทธ์แบบครบวงจรในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ในปี 2024 ที่ผ่านมา เราได้เห็นความก้าวหน้าและการเติบโตของ GAC ในประเทศไทยอย่างชัดเจน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการ ช่องทางจำหน่าย และการผลิต ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคชาวไทย เราได้สร้างสถานีชาร์จ 25 แห่ง และมีการจ้างงานบุคลากรไทยจำนวนมาก เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานใหม่ในประเทศ

ความสำเร็จของ GAC ในประเทศไทย ถือเป็นต้นแบบของการสร้างแบรนด์จีนสู่เวทีระดับโลก GAC จึงเดินหน้าสู่กลยุทธ์ “ONE GAC 2.0” อย่างเป็นทางการ โดยยึดหลัก 1 วิสัยทัศน์, 1 เป้าหมาย, 1 ภาพลักษณ์, 1 แผนปฏิบัติการเชิงพื้นที่ และ 5 มาตรการสำคัญ

  • มาตรการด้านผลิตภัณฑ์: ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค พร้อมตอบสนองความต้องการในทุกมิติ
  • มาตรการด้านช่องทางการขาย: ขยายเครือข่ายศูนย์บริการให้ครอบคลุม พร้อมยกระดับประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
  • มาตรการด้านบริการ: ยกระดับคุณภาพการบริการสู่มาตรฐานระดับโลก เน้นความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
  • มาตรการด้านการผลิตอัจฉริยะ: เดินหน้าการผลิตภายในประเทศ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย
  • มาตรการด้านระบบพลังงานและการเดินทาง: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน พร้อมสร้างระบบนิเวศด้านการเดินทางที่ครบวงจร

ในปัจจุบันเราขับเคลื่อน “ภารกิจประเทศไทย” อย่างเต็มที่ ผ่านการเปิดตัว AION UT และ M8 PHEV และเตรียมนำรถยนต์ไฮบริด (HEV) รุ่นแรกเข้าสู่ตลาดไทยภายในปีนี้ พร้อมเป้าหมายขยายโชว์รูมเป็น 80 แห่งภายในปี 2025 และ GAC ยังคงเดินหน้าแผน “100 เมือง 1,000 สถานีชาร์จ” อย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์ ONE GAC 2.0 คือคำมั่นสัญญาที่เรามอบให้กับผู้บริโภคชาวไทย เราจะไม่หยุดพัฒนา เพื่อส่งมอบคุณภาพ นวัตกรรม และประสบการณ์การเดินทางที่ดีที่สุดให้กับทุกคน

AION UT

AION UT รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและสมรรถนะเหนือระดับ สร้างสรรค์นิยามใหม่ของยนตรกรรมไฟฟ้าให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าที่ทั้งโดดเด่นและเปี่ยมประสิทธิภาพ

AION UT เปิดจองสิทธิ์ให้คุณเป็นเจ้าของแล้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 51x,xxx บาท พร้อมรับสิทธิประโยชน์ เมื่อจองรถ AION UT ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 ราคาพิเศษเพียง 49x,xxx บาท

UTMost Design
AION UT ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะเมืองมิลาน (Milan Design Aesthetics) ผสานเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย สร้างสรรค์รูปแบบที่สะท้อนความหรูหราและสไตล์ระดับพรีเมียม โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบ Winky Headlight ที่มีเส้นสายลื่นไหลให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา และ Matrix Cube Light ที่ออกแบบด้วยดีไซน์คิวบิก ผสมผสานความทันสมัยและฟังก์ชันที่ลงตัว ให้แสงสว่างที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ทั้งกลางวันและกลางคืน

UTMost Comfort
ภายในห้องโดยสารของ AION UT มาพร้อมพื้นที่ด้านหลังขนาดกว้างถึง 1,385 มม. และพื้นที่วางขาสบายมากขึ้นถึง 905 มม. ตอบโจทย์การเดินทางแบบครอบครัวหรือการใช้งานที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น เบาะที่นั่งสามารถปรับพับได้เต็มที่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ใช้งานได้หลากหลาย ขณะที่เบาะ Butterfly-shaped Seat ใช้วัสดุระดับพรีเมียม รองรับสรีระอย่างลงตัว ให้ความรู้สึกหรูหราและสบายตลอดการเดินทาง

UTMost Tech
AION UT มาพร้อมระบบ L2 Intelligent Driving ช่วยให้การขับขี่สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนทางหลวงหรือในเมือง เสริมความปลอดภัยด้วยระบบ RCTB พร้อมระบบ Voice Control รองรับการสั่งงานด้วยเสียงทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ครอบคลุมทั้งที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารตลอดเส้นทาง

UTMost Safety
AION UT ถูกออกแบบให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว ด้วยโครงสร้างตัวถังเหล็กกล้าความแข็งแรงสูง 71% และหลังคาที่สามารถรับแรงกดได้เกือบ 7 ตัน พร้อมแบตเตอรี่ Magazine Battery 2.0 ที่ผ่านการทดสอบการบิดตัว 180 องศา โดยไม่เกิดประกายไฟหรือความร้อนสะสม เสริมความมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยระบบเบรกอัตโนมัติด้วยระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) อีกทั้งยังรองรับการชาร์จเร็วที่สามารถเพิ่มพลังงานจาก 30% เป็น 80% ได้ภายใน 24 นาที

M8 PHEV

M8 PHEV นิยามใหม่ของยนตรกรรม MPV ระดับพรีเมียมในประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ Plug-in Hybrid ผสานพลังการขับเคลื่อนที่ทรงพลังเข้ากับความประหยัดพลังงาน โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหราระดับลักชัวรี และมอบประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับ สัมผัสความสะดวกสบายขั้นสุด รองรับระยะทางสูงสุดมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการเติมพลังงานหนึ่งครั้ง มอบอิสระในการเดินทางอย่างไร้ขีดจำกัด

M8 PHEV เปิดจองสิทธิ์ให้คุณเป็นเจ้าของแล้ว ในราคาไม่เกิน 2,5xx,xxx บาท พร้อมรับ Luxury Package Upgrade รวมมูลค่ากว่า 200,000 บาท เมื่อจองรถ M8 PHEV ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568

M8 PHEV Luxury Package Upgrade

  • 17.3 Inches Rear Roof-mounted Suction Screen
  • Dynaudio High-end Custom Sound System
  • Starry Sky Roof

Master Experience
M8 PHEV ถูกออกแบบให้สะท้อนความประณีตและหรูหราในทุกรายละเอียด โดดเด่นด้วย Master Design ที่ผสานศิลปะเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เติมเต็มเสน่ห์แห่งการเดินทาง ขณะที่ Timeless Headlight ไฟหน้าดีไซน์เหนือกาลเวลา ส่องสว่างทุกเส้นทาง พร้อม Floating Hubcaps ฝาครอบล้อสุดล้ำที่ช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับทุกมุมมอง และ Luxurious Leather Seat เบาะหนัง Semi-Aniline คุณภาพสูง ให้สัมผัสนุ่มสบายระดับพรีเมียม

High-end Performance
M8 PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ 2.0TM Intelligent PHEV ผสานพลังงานระหว่างเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า พร้อมระบบเกียร์อัจฉริยะ DHT 2 สปีด ให้สมรรถนะทรงพลังควบคู่กับความประหยัด รองรับการเดินทางระยะไกล ด้วย 1,000+ km Ultimate Range ที่สามารถขับขี่ได้ไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรต่อการเติมพลังงานหนึ่งครั้ง ขณะที่ L2 Intelligent Driving มอบระบบขับขี่อัจฉริยะที่ช่วยให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องง่ายขึ้น ปิดท้ายด้วย SDC Electromagnetic Suspension ระบบกันสะเทือนอัจฉริยะที่ปรับตัวตามสภาพถนน ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลและมั่นใจยิ่งขึ้น

Deluxe Lifestyle
M8 PHEV มอบความยืดหยุ่นสูงสุดให้กับทุกไลฟ์สไตล์ ด้วย Dynamic Space ที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบที่นั่งได้หลากหลาย ทั้งสำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจหรือทริปครอบครัว อีกทั้งยังรองรับ Family Exclusive Trip ที่ให้คุณเพลิดเพลินไปกับทุกช่วงเวลาแห่งความสุข ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลหรือทริปสั้น ๆ พร้อมฟังก์ชัน V2L ที่รองรับการใช้งานพลังงานจากตัวรถ ให้คุณเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ทุกที่

การเข้าร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ GAC ในการขยายตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ ลูกค้าที่สนใจสามารถเข้าชมและทดลองขับ AION UT และ M8 PHEV รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นอื่นๆ จากแบรนด์ AION และ HYPTEC ได้ที่ บูธ GAC (A22) ภายในงาน Bangkok International Motor Show 2025 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 6 เมษายน 2568 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Website : https://www.aionauto.com/
Facebook : https://www.facebook.com/AIONthailand
Instagram : https://www.instagram.com/aion_thailand/
Twitter (X) : https://x.com/AION_TH
Tiktok : https://www.tiktok.com/@aion_thailand

เกี่ยวกับ GAC Group
GAC Group เป็นบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ระดับโลกที่มุ่งมั่นสร้างคุณค่าให้กับอุตสาหกรรม ผ่านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง นวัตกรรมล้ำสมัย บริการที่ยอดเยี่ยม และยังเป็นบริษัทแม่ของ GAC AION อีกด้วย โดย GAC Group ได้รับการจัดอันดับใน Fortune Global 500 ต่อเนื่องถึง 12 ปี โดยในปี 2024 อยู่ที่อันดับ 181 มีบุคลากรระดับแนวหน้ากว่า 100,000 คน จาก 15 ประเทศทั่วโลก รวมถึงทีมวิจัยและพัฒนา 6,000 คน ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ด้วยสิทธิบัตรกว่า 18,600 รายการ และนวัตกรรมที่จดสิทธิบัตรกว่า 7,600 รายการ พร้อมศักยภาพด้านการผลิตที่แข็งแกร่ง ด้วยยอดขายกว่า 2.5 ล้านคันในปี 2023 ติดอันดับ 4 ของอุตสาหกรรมยานยนต์จีน โดยในปัจจุบัน GAC Group มีแบรนด์รถยนต์ในเครือที่แยกเป็นอิสระ 3 แบรนด์ ได้แก่ AION, HYPTEC และ GAC Motor นอกจากนี้ GAC Group ยังเป็นพันธมิตรระยะยาวกับ HONDA และ TOYOTA ผ่านบริษัทร่วมทุน GAC HONDA และ GAC TOYOTA พร้อมสร้างเครือข่ายธุรกิจครบวงจร ตั้งแต่การผลิตและพัฒนา R&D Centers ในจีน สหรัฐฯ และอิตาลี ไปจนถึงการขยายตลาดสู่ 74 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ ด้วยการใช้ Big Data ขับเคลื่อนโซลูชันพลังงานอัจฉริยะ พร้อมระบบ AI สำหรับการขนส่งที่มีความแม่นยำสูงถึง 95% GAC Group ไม่เพียงเป็นผู้นำด้านยานยนต์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรม ความเป็นเลิศ และความมุ่งมั่นในการสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ล้ำหน้าให้กับผู้บริโภคทั่วโลก

โฮมโปร รุกตลาดอีคอมเมิร์ซเรื่องบ้านและงานช่าง ผนึกกำลัง ช้อปปี้ผ่านแคมเปญ“Super Brand Day” เปิดตัว HomePro Living ลดปังอลังการ แจกคูปองส่วนลดรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท 26 มี.ค. 68 นี้ วันเดียวเท่านั้น !!

โฮมโปร (HomePro) ต่อยอดตลาดอีคอมเมิร์ซเรื่องบ้านโต เตรียมปลุกแรงซื้อออนไลน์ครั้งใหญ่ เอาใจนัก ช้อปสายแต่งบ้านแบบจัดเต็ม ร่วมกับ ช้อปปี้ (Shopee) เปิดร้าน HomePro Living Official Shop จัดแคมเปญลดปังอลังการ “Super Brand Day” !! จัดเต็มประสบการณ์ช้อปรวมที่สุดแห่งความคุ้ม แจกคูปองส่วนลดเล่นใหญ่รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท มีให้ครบ สินค้าลดแรง 80%, โค้ดส่วนลดสุดคุ้มพิเศษ 3 ต่อ, บริการส่ง-ประกอบติดตั้งฟรี, สิทธิ์ผ่อนชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน วันเดียวเท่านั้น…26 มีนาคม 2568 นี้ เริ่มเที่ยงคืนตรง

คุณวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร เปิดเผยว่า การร่วมมือกันระหว่าง โฮมโปร ผู้นำค้าปลีกเรื่องบ้าน และ ช้อปปี้ (Shopee) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 เพื่อผู้ประกอบการและพันธมิตรธุรกิจ เติบโตอย่างแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมา โฮมโปรได้ขยายศักยภาพโดยพัฒนาช่องทาง ‘HomePro Living Official Shop’ บนช้อปปี้ ให้มีสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมมากขึ้น ไม่เพียงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านที่เป็นสินค้าขายดี แต่ยังเพิ่มสินค้าที่เฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำนักงาน อุปกรณ์งานช่าง และงานสวน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน พร้อมยกระดับประสบการณ์ช้อปออนไลน์เรื่องบ้านที่ สะดวก คุ้มค่า และครบครันมากกว่าเดิม

นอกจากนี้ ร้าน HomePro Living Official Shop ของโฮมโปร ยังได้รับการสนับสนุนที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ช้อปที่แตกต่างและคุ้มค่าให้กับลูกค้าโฮมโปรมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์ไลฟ์สตรีมมิ่ง (Shopee Live) ที่ช่วยให้เรา สามารถนำเสนอสินค้าและฟังก์ชันต่างๆ ให้กับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์, แคมเปญการตลาด Super Brand Day ที่นำเสนอดีลสินค้าราคาสุดพิเศษ รวมถึงสิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ อย่างโค้ดส่วนลดพิเศษ 3 ต่อ, โปรโมชั่นส่งฟรี เมื่อช้อปครบ 5,000.- และ การผ่อนชำระที่สะดวกสบายไปกับ SPayLater และบัตรเครดิตของธนาคารที่ร่วมรายการ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น

ต้นปีนี้ โฮมโปรเตรียมผนึกกำลังกับช้อปปี้ ปลุกกระแสช้อปออนไลน์ครั้งใหญ่ เพื่อส่งต่อความคุ้มให้นักแต่งบ้านต้อนรับซัมเมอร์นี้ จัดเต็มด้วยส่วนลดสุดปัง พร้อมมอบประสบการณ์ช้อปสุดอลังการ 26 มีนาคม 2568 วันเดียวเท่านั้น !! กับแคมเปญ “HomePro Living Super Brand Day” รวบที่สุดโปรโมชั่นตัวแรงไว้ที่เดียว พบสินค้าของแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ในบ้าน สินค้าบ้านคุณภาพทุกหมวดหมู่ พร้อมสิทธิพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โค้ดส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท, บริการส่งฟรีถึงบ้าน, สิทธิ์ผ่อนชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน แจกใหญ่ให้เยอะคูปองส่วนลด รวมมูลค่าส่วนลดกว่า 1,000,000 บาท !!

·        ลดปังอลังการวันเดียว! 26 มีนาคม 2568 นี้ ช้อปที่ “HomePro Living Official Shop” รับส่วนลดสูงสุด 80%!! (เมื่อใช้โค้ดส่วนลดกับสินค้าพิเศษที่ร่วมรายการ) พร้อมแฟลชเซลล์สินค้าราคาพิเศษตลอดทั้งวัน

·        กดรับโค้ดสุดคุ้ม 3 ต่อ !! ü ต่อที่ 1 : รับโค้ดส่วนลดสูงสุด 2,500 บาท จาก HomePro Livingü ต่อที่ 2 : เก็บโค้ดส่วนลดสูงสุด 1,000 บาท จาก Shopee ü ต่อที่ 3 : จ่ายผ่าน SPayLater ลดเพิ่มสูงสุด 800 บาท

·        Super Brand Day ช้อปสินค้าที่ร่วมรายการ ครบ 5,000 บาท ฟรี!! ส่งถึงบ้านประกอบติดตั้ง ในกลุ่มสินค้าที่ร่วมรายการ

·        สิทธิ์ผ่อนสบาย 0% นานสูงสุด 10 เดือน ตามเงื่อนไขการชำระเงินของ Shopee เฉพาะสินค้า และบัตรเครดิตของธนาคารที่ร่วมรายการ จากสถาบันการเงินชั้นนำ เช่น บัตรเครดิตกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, ธนาคารกสิกรไทย, กรุงไทย, กรุงเทพ, กรุงศรีอยุธยา, ไทยพาณิชย์

·        แจกจัดหนักวันเดียวเท่านั้นรวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท !! คูปองส่วนลดโฮมโปร มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท มากกว่า 1,000 สิทธิ์ สำหรับช้อปที่โฮมโปร ออนไลน์, โฮมโปร และเมกาโฮม ทุกสาขาทั่วประเทศ เฉพาะสมาชิกใหม่ HomeCard ที่มีการซื้อสินค้า และชำระเงินสำเร็จที่ร้าน HomePro Living Official Shop บน Shopee ในวันที่ 26 มีนาคม 68 เวลา 00:00 น. – 23:59 น. ลงทะเบียนสมาชิกใหม่ ดาวน์โหลดแอป HomeCard และกดรับสิทธิ์คูปองผ่านทาง https://bit.ly/homeproth ที่ SMS HomeProBill หรือสแกน QR Code บน Thank You Card ในกล่องพัสดุ ระยะเวลากดรับสิทธิ์คูปอง 26 มีนาคม – 15 เมษายน 2568 / ระยะเวลาในการใช้คูปอง 26 มีนาคม – 30 เมษายน 2568 เงื่อนไขการใช้คูปองเป็นไปตามที่ระบุในแอปพลิเคชัน HomeCard

งานนี้คนรักบ้านห้ามพลาด !! เตรียมกดรับส่วนลดให้ครบทุกโค้ด ช้อปคุ้มทุกตะกร้าวันเดียวเท่านั้น กดแจ้งเตือนเลย วันพุธที่ 26 มีนาคม 2568 นี้ เริ่มเที่ยงคืนตรง !! รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Shopee Mall : HomePro Living Official Shop หรือคลิก https://home-pro.org/4heFUwC หรือ Call Center หมายเลข 1284 

หมายเหตุ* SPayLater  กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว ดอกเบี้ย 15-25% ต่อปี* ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทกำหนด / โปรดตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติมที่หน้าร้านค้า HomePro Living Official Shop บน Shopee /เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ 

#ShopeeSuperBrandDay #HomeProLiving #HomeProLivingOfficialShop #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #เมกาโฮม #ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและงานช่าง

“เรมี่ (REMY)” บุกตลาด Exotic! จับมือหมออ้อย เปิดตัวขนมสุขภาพสัตว์ฟันแทะ 3 สูตร แบรนด์แรกในไทย ภายใต้ คอนเซปท์ Healthy Berry Plus Vit C

กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด (PFG – Pataya Food Group) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารกระป๋อง อาหารสัตว์เลี้ยงที่มีความเชี่ยวชาญ เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศมากว่า 46 ปี ร่วมกับ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดตั้ง   แบรนด์ REMY โดยล่าสุด REMY  ได้ร่วมพัฒนาขนมสุขภาพสำหรับสัตว์ฟันแทะ กับ นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล หรือ “คุณหมออ้อย” ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ(Exotic pet)  แห่ง Animal Space Hospital   โดยขนมเพื่อสุขภาพของสัตว์ฟันแทะมาในรูปแบบ Puree Jelly ที่ทำจากผลเบอร์รี่และสมุนไพรแท้หลากชนิด ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินจากธรรมชาติ มีรสชาติอร่อย กลิ่นหอม เนื้อสัมผัสนุ่มและชุ่มฉ่ำ บรรจุในซองขนาด 6 กรัม ทำให้สะดวกในการพกพาและป้อนให้เหล่าน้องๆฟันแทะ

นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการ กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด กล่าวว่า แบรนด์ REMY (เรมี่) เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด (PFG – Pataya Food Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตอาหารระดับโลกกว่า 46 ปี และโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ หนึ่งในโรงพยาบาลสัตว์ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อบริษัท เรมี่ เพ็ท (Remy Pet) จำกัด และได้เปิดตัวแบรนด์ REMY อาหารน้องหมาน้องแมวเพื่อสุขภาพ ในปี 2566 มุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องโดยทีมงานนักโภชนาการ สัตว์เลี้ยง ด้วยคอนเซ็ปต์ Recipe for My Love – สุขภาพดี…ที่ให้ด้วยรัก” ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของการเลือกวัตถุดิบและสูตรอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง

แบรนด์ REMY ได้รับการตอบรับจากลูกค้าจำนวนมาก เนื่องจากจุดเด่นของสินค้า REMY ทุกสูตรที่ช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการอย่างน้อย 2 ชนิด โดยคัดสรรวัตถุดิบในเกรดเดียวกับอาหารมนุษย์ (Human Grade) ไม่เติมเกลือ น้ำตาล หรือวัตถุกันเสีย มีประโยชน์ต่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง สำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ได้แก่ อาหารแมว อาหารสุนัข และขนมสำหรับสัตว์ฟันแทะ โดยมีการวิจัยและพัฒนาสูตรร่วมกับนักโภชนาการตามความต้องการของสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือกลุ่มอาหารเสริมระบบย่อยอาหาร (Digestive System) รองลงมาเป็นสูตรเสริมภูมิคุ้มกัน (Immune) และสูตรเสริมข้อและกระดูก
(Bone and Joint) ลูกค้าหลายรายกลับมาซื้อซ้ำเนื่องจากความพึงพอใจในรสชาติและผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในการดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยง

นางสาวสุดาทิพ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย – ตลาดสัตว์เลี้ยงปี 2568 คาดว่า ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงอยู่ที่ประมาณ 3.98 แสนตัน ขยายตัว 6% จากปีก่อน ตามจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น จำนวนสัตว์เลี้ยงของไทยยังมีแนวโน้มเติบโต โดยในปี 2568 คาดว่า สัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของมีอยู่ราว  5.38 ล้านตัว เพิ่มขึ้นราว 6% แบ่งเป็นสุนัข 3.45 ล้านตัว แมว 1.94 ล้านตัว ส่งผลให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงกว่า 76% จะอยู่ในกลุ่มอาหารสุนัข
        แต่ในอนาคต คาดว่า สัดส่วนยอดขายอาหารแมวน่าจะเพิ่มขึ้น จากความนิยมเลี้ยงแมวที่มีมากขึ้น สะท้อนได้จาก ในช่วงปี 2564-2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 28% ต่อปี เทียบกับอัตราการเติบโตของสุนัขเลี้ยงที่ 19% ต่อปี การที่ REMY ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยความเชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อและกลุ่มบริษัทพัทยาฟู้ด จึงเป็นการรับประกันคุณภาพและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

*ขอบคุณ ข้อมูลอ้างอิงจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย – ตลาดสัตว์เลี้ยงปี 2568   https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Pet-Food-IAO123-Info-FB-17-03-25.aspx

ความร่วมมือระหว่างแบรนด์ REMY และ Animal Space Hospital โดย

นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์
ยินหาญมิ่งมงคล
หรือ “คุณหมออ้อย” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษ (Exotic Pet) ได้ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์แนวสุขภาพสำหรับสัตว์ฟันแทะ โดยมีจุดมุ่งหมายในการให้ทางเลือกใหม่แก่เจ้าของสัตว์เลี้ยงกลุ่ม Exotic  ซึ่งในตลาดไทยเริ่มมีความต้องการสินค้าประเภทนี้อยู่มากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของ REMY ในกลุ่ม Exotic มีทั้งหมด 3 รสชาติมาด้วยคอนเซปท์ Healthy Berry Plus Vit C ได้แก่ สูตรสตรอว์เบอร์รี่ผสมโหระพาและวิตามินซี (บำรุงสายตา), สูตรแบล็กเคอร์แรนท์ผสมเมล็ดแฟลกซ์และวิตามินซี (บำรุงขนและผิวหนัง), และสูตรแครนเบอร์รี่ผสมพาร์สลีย์และวิตามินซี (ดูแลทางเดินปัสสาวะ)

นางสาวสุดาทิพ กล่าวปิดท้ายว่า กิจกรรมหลักของ REMY ยังคงมุ่งเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสายสุขภาพ (Wellness  Pet Parents) ตอกย้ำความน่าเชื่อถือด้วยทีมสัตวแพทย์ในการให้ความรู้เชิงลึกผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย การทำวีดีโอ และ คอนเท้นต์สื่อถึง Human Grade สู่ Human Touch” ที่เข้าใจคนรักสัตว์เลี้ยง มาพร้อมการสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านวิทยุ และกิจกรรมโรดโชว์ไปยังร้านเพ็ทช็อปทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงการเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์แคมเปญใหม่ “REMY’s FRIENDs” ในงาน Pet Expo 2025 ที่จะมาถึงในเดือนพฤษภาคม 2568 นี้ พร้อมกับกิจกรรมลุ้น Fan Meet เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าคนรักสัตว์ นอกจากนี้ในปีนี้ REMY PET เตรียมจัดกิจกรรมที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างการรับรู้ของแบรนด์ และมีการขยายการจำหน่ายไปยังต่างประเทศเพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าในภูมิภาคอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Exotic pet ที่คำนึงถึงความต้องการและสุขภาพของสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ REMY ยังมีเป้าหมายในการขยายตลาดในช่องทางหลักคือ กลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และ คลินิก เกือบ 200 สาขาทั่วประเทศ รวมทั้งยังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายกลุ่ม Modern Pet shop เช่น Pet’N Me,
Pet Us, Pet Club และ ร้านค้า Pet Shop กว่า 300 ร้านค้าทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงให้เติบโตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้

ด้าน นายสัตวแพทย์เชาวพันธ์ ยินหาญมิ่งมงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงชนิดพิเศษหรือ Exotic pet จากโรงพยาบาลสัตว์ Animal Space Hospital กล่าวเสริมว่า “เทรนด์ของสัตว์เลี้ยงกลุ่มสัตว์แปลก – Exotic กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 15% ของตลาดอาหารสัตว์ทั้งหมด โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศ ราคาค่อนข้างสูง และมีทางเลือกจำกัด
การร่วมมือกับ REMY PET ด้วย Passion ที่ต้องการพัฒนาอาหารและขนมที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพสำหรับกลุ่มสัตว์แปลก ถือเป็นการตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์ที่มีความต้องการ มีกำลังซื้อสูง และ มองหาผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลสุขภาพ เพื่อเป็นการมอบความรักและความใส่ใจแก่สัตว์เลี้ยงอย่างแท้จริง ในราคาที่เข้าถึงได้”

โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม Exotic ซึ่งเป็นขนมสำหรับสัตว์ฟันแทะ ในรูปแบบเจลลี่จากผลเบอร์รี่และสมุนไพรธรรมชาติ มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้แก่สัตว์ฟันแทะ โดยเฉพาะหนูแกสบี้ที่ไม่สามารถสร้างวิตามินซีได้เอง ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น อ่อนแอ ผิวหนังขน ไม่สวย ปวดข้อ ข้อบวม มีเลือดออกจากปาก และ เหงือกครับ สินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ของ REMY PET นี้ได้มีการเสริม Vitamin C เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเพิ่มขึ้น

REMY PET ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับความอร่อย แต่ยังใส่ใจในสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
ด้วยการพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสมสำหรับสัตว์ทุกชนิด สู่การเป็นแบรนด์ที่ครองใจเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ในปีนี้ REMY PET พร้อมที่จะขยายตลาดสู่ระดับสากล พร้อมรับมือกับเทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรงอย่างต่อเนื่องทั้งประเทศไทยและทั่วโลก

REMY มีช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ ดังนี้ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อทุกสาขา กลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และ คลินิก รวมทั้งร้าน Pet Shop กว่า 300 ร้านค้าทั่วประเทศ และร้านค้าออนไลน์ หรือสนใจสั่งผลิตภัณฑ์ติดต่อ 098-6194461

ติดตามโฆษณา REMY ได้ที่

Youtube  https://www.youtube.com/watch?v=Jqm-EDfZ4uY

TIKTOK: https://www.tiktok.com/@remypetfoods

FACEBOOK: https://www.facebook.com/remypetfoods

LINE OA : https://lin.ee/5W8xCkI

“โฮมโปร” จับมือพันธมิตร เซ็น MOU วิจัยตลาดคาร์บอนครัวเรือนดันพลังงานสะอาด ชวน “รักษ์โลก แลกแต้ม” กับโฮมการ์ด

นายนิทัศน์ อรุณทิพย์ไพฑูรย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มทรัพยากรบุคคล และธุรกิจพลังงาน
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จากัด (มหาชน) หรือ
“โฮมโปร” ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการมูลนิธิ มพช. และ รศ.วงกต วงศ์อภัย ผู้แทนจากสถาบันพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในโครงการ “วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” โครงการนี้มุ่งผลักดันให้ผู้บริโภคใช้พลังงานสะอาดผ่านการติดตั้งโซลาร์เซลล์ พร้อมเปิดโอกาสให้เปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเป็น คะแนนโฮมการ์ด เพื่อแลกรับสินค้า บริการ และสิทธิประโยชน์มากมายจากโฮมโปร ตั้งเป้ามีครัวเรือนเข้าร่วมโครงการฯ กว่า 300 ครัวเรือน แจกคะแนนโฮมการ์ดกว่า 3 ล้านแต้ม พร้อมช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 1 ตันคาร์บอน

#Homesolar #โฮมโซลาร์ # เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
#มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน #สถาบันวิจัยพหุศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

คอสเมด อินโนเวชั่น รุกคืบตลาดเครื่องสำอาง เร่งเครื่องดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ปั๊มรายได้ปี 2568 โตทะยาน 30%

บริษัท คอสเมด อินโนเวชั่น ปิดจ๊อบปี 2567 ด้วยอัตราเติบโต 30% พร้อมเผยแผนธุรกิจปี 2568 เดินหน้ารุกตลาดเต็มกำลังครั้งแรกผ่านกลยุทธ์ ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ พร้อมอวดศักยภาพงานวิจัยในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ตั้งเป้าดันรายได้สิ้นปีโตอีก 30% ทะลุ 2,000 ล้านบาท

ผลการดำเนินงานปี 2567 และแผนปี 2568

เภสัชกร วาที รัตนวิสาลนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คอสเมด อินโนเวชั่น จำกัด ผู้รับผลิตเครื่องสำอาง เวชสำอาง สกินแคร์ และอาหารเสริมแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทมีอัตราการเติบโตสูงถึง 30% โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการจัดกิจกรรม Open House เปิดบ้านต้อนรับลูกค้าที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจความงาม เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นศักยภาพของบริษัท ผ่านการนำเสนอ “Real Mockup”  นวัตกรรมนำเสนอสินค้าจริง ด้วยเครื่อง Crystal Screen และ เครื่องพิมพ์บรรจุภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ทำให้ลูกค้าเห็นภาพผลิตภัณฑ์เป็นรูปธรรมและสัมผัสเนื้อครีมชนิดต่าง ๆ ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ เนื่องจากลูกค้าสามารถวางแผนและสร้างไอเดียแบรนด์ของตนเองได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง

รุกการตลาดออนไลน์-ดิจิทัลเต็มรูปแบบในปี 2568

สำหรับปี 2568 บริษัทวางแผนเดินหน้าการตลาดเชิงรุกเป็นครั้งแรก โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เน้นการใช้ งบประมาณการตลาด ในการสื่อสารกับลูกค้า ทำให้กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่รู้จักบริษัทผ่านผลิตภัณฑ์ตามช่องทางจัดจำหน่ายเท่านั้น แต่ในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งให้ความสำคัญกับ การตลาดออนไลน์ (Digital Marketing) โดยเฉพาะ

   •   จัดตั้ง ทีมการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Team) เพื่อเจาะกลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง

   •   เน้นการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Facebook, Instagram ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังในการเข้าถึงกลุ่ม คนรุ่นใหม่ และ เจ้าของแบรนด์หน้าใหม่

   •   ขยายฐานลูกค้า จากเดิมที่เป็นเจ้าของแบรนด์เดิมหรือกลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไป ไปสู่กลุ่มที่ต้องการสร้างแบรนด์ใหม่และอายุหลากหลายมากขึ้น

แสดงศักยภาพงานวิจัยในงาน Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025

เภสัชกร วาที เผยว่าอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในปี 2568 คือการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า Cosmoprof CBE ASEAN Bangkok 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2025 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ เข้าร่วมงานระดับนี้ ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะลูกค้าจากทั้ง ไทยและต่างประเทศ

“การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เราไม่ได้ต้องการแค่บุกตลาด แต่ยังต้องการโชว์ศักยภาพด้าน งานวิจัยและนวัตกรรม ของเรา ที่เราใช้งบประมาณกว่า 10% ของยอดขายสนับสนุนการวิจัยอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่าการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีงานวิจัยรองรับ จะทำให้ลูกค้าของเราประสบความสำเร็จในการสร้างแบรนด์และเติบโตอย่างยั่งยืน” — เภสัชกร วาที กล่าว

เทรนด์ความงามที่มาแรงในปี 2568

   •   เวชสำอาง (Cosmeceutical) มาแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฟื้นฟูผิวหลังการทำเลเซอร์และทรีตเมนต์ เนื่องจากผู้บริโภคมีความรู้เรื่องสกินแคร์มากขึ้น และให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลผิวและการเติมความชุ่มชื้น

   •   จากเดิมที่ตลาดเน้นกลุ่ม Whitening เป็นหลัก ปัจจุบันกลุ่ม เวชสำอาง กำลังเติบโตสูง เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับ การดูแลสุขภาพผิวแบบองค์รวม มากขึ้น

พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามเศรษฐกิจ

   •   ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ขนาดเล็กลง (Mini-size) เช่น ครีมซอง (Sachet Cream) ซึ่งยังคงเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจาก ราคาย่อมเยาและเข้าถึงง่าย

   •   บริษัทฯ เป็นผู้บุกเบิกการผลิต ครีมซอง ให้กับหลายแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
และครีมซองกลายเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของ เครื่องสำอางไทย ที่ต่างชาติให้ความสนใจ

มุมมองต่ออนาคตตลาดเครื่องสำอางไทย

เภสัชกร วาที กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ช่วยให้แบรนด์ไทยสามารถแข่งขันกับ อินเตอร์แบรนด์ (International Brands) ได้มากขึ้น แตกต่างจากอดีตที่การลงโฆษณาต้องพึ่งพาสื่อแบบดั้งเดิมที่มีค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ที่หลากหลาย โปรโมตแบรนด์ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าแต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้แบรนด์ไทยมีโอกาสเติบโตและสร้างชื่อเสียงในระดับสากลได้มากขึ้น

ตั้งเป้ารายได้ปี 2568 โตทะลุ 2,000 ล้านบาท

หลังจากการตลาดเชิงรุกตลอดปี 2568 บริษัทฯ คาดการณ์รายได้จะเติบโต 30% หรือมีรายได้รวมประมาณ 2,000 ล้านบาท จากการขยายฐานลูกค้าในตลาดใหม่ ๆ และสนับสนุนผู้ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง

ผู้ที่สนใจเริ่มต้นธุรกิจ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

🔗 www.cmicosmetic.com

โฮมโปร ชวน “รักษ์โลก แลกแต้ม เปลี่ยนแสงแดดเป็นคะแนน Home Card” ด้วยการติด Home Solar “ประหยัดไฟ-ประหยัดเงิน-รับแต้มลดโลกร้อน”

โฮมโปร เดินหน้าภารกิจ Net Zero Emissions ร่วมกับภาครัฐ-เอกชน มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เซ็น MOU โครงการ “วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” ผลักดันให้ผู้บริโภคใช้พลังงานสะอาด ผ่านการติดตั้งโซลาร์เซลล์ พร้อมเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตเป็นคะแนนโฮมการ์ด แลกรับสินค้า, บริการ และสิทธิประโยชน์มากมายที่โฮมโปร ตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ กว่า 300 ครัวเรือน แจกคะแนนโฮมการ์ดกว่า 3 ล้านแต้ม และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 1 ตันคาร์บอน

นายนิทัศน์ อรุณทิพย์ไพฑูรย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มทรัพยากรบุคคล และธุรกิจพลังงาน
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จากัด (มหาชน)
หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า ปัจจุบันความต้องการคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก สะท้อนถึงกระแสตื่นตัวของประชาชนและภาคธุรกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change หลายองค์กรมีเป้าหมายสำคัญร่วมกัน เพื่อมุ่งสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามแนวทางภารกิจ Net Zero Emissions ให้สำเร็จในอนาคต

“โฮมโปร ไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการติดตั้งโซลาร์เซลล์ แต่ยังเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด การชดเชยคาร์บอน รวมถึงระบบนิเวศธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โฮมโปรดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นทางการผลิตไปจนถึงปลายทางของการจัดการอย่างถูกวิธี เป้าหมายของเราจึงไม่ได้มีแค่การปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดภายในองค์กร แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมให้ผู้บริโภคทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน”

ในเดือนมีนาคม 2568 นี้ “โฮมโปร” ได้ประกาศความร่วมมือกับ “มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน”
“สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่”
ภายใต้งบประมาณสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุน

ด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการวิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคธุรกิจ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานสะอาด โดยใช้แพลตฟอร์มตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ เพื่อติดตามข้อมูลการผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์ พร้อมวัดผลปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ของแต่ละครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งโครงการฯ นี้ ช่วยให้โฮมโปรเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาว โดยครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถนำ Carbon Credit 1 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการใช้พลังงานจากโซลาร์เซลล์ 2,059 หน่วย (Khw) มาแลกเป็นคะแนนโฮมการ์ด 1,900 คะแนน เพื่อใช้คะแนนเป็นส่วนลดสำหรับสินค้าและบริการ รวมถึงแลกสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่โฮมโปร และเมกาโฮม ทั่วประเทศ

“โครงการนี้ ไม่ได้เป็นเพียงก้าวสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการลดโลกร้อน ผ่านการใช้พลังงานสะอาดและการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ยังช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นายนิทัศน์ฯ กล่าว

ด้าน ดร.สุวิทย์ ธรณินทร์พานิช ประธานกรรมการ มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน เสริมว่า การจัดทำโครงการ “วิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ” จะใช้แพลตฟอร์มกลางในการติดตามว่าครัวเรือนที่มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ มีการผลิตพลังงานสะอาด หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณเท่าไร โดยแพลตฟอร์มนี้จะยังช่วยคำนวณการแลกเปลี่ยนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้เป็นคะแนน เพื่อนำไปแลกกับสินค้าหรือบริการของภาคธุรกิจอย่าง “โฮมโปร” ซึ่งเราคาดว่าโครงการฯ จะสามารถสร้างประโยชน์ครอบคลุมถึง 3 ด้าน คือ การสร้างรายได้ให้ภาคครัวเรือน, การทำธุรกิจตามแนวเศรษฐกิจหมุนเวียนของภาคธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทย 

ด้าน รศ.วงกต วงศ์อภัย ผู้แทนสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดทำโครงการฯ ในครั้งนี้ สิ่งสำคัญของกระบวนการทั้งหมด ไม่ใช่เพียงการได้คาร์บอนเครดิตกลับมา แต่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความรับผิดชอบของภาคส่วนต่าง ๆ ที่มาเข้าร่วมกับโครงการฯ เพื่อช่วยกันลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เป็นประเด็นสำคัญในระดับโลก อีกทั้งการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตกับคะแนนที่ใช้แลกสินค้าหรือบริการจาก “โฮมโปร” ยังสามารถช่วยจูงใจให้ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดมากขึ้น ช่วยสร้างประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน พร้อมเป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่เป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

ในปีที่ผ่านมา โฮมโปร เป็นหนึ่งในองค์กรธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการเดินหน้าแผนงานลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคครัวเรือน โดยในปี 2023-2024 มีผู้บริโภคใช้บริการติดตั้ง Home Solar by HomePro รวมทั้งหมด 324 ครัวเรือน เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,200 ตันต่อปี ในระยะเวลา 2 ปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 2,400 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับปลูกต้นไม้ 240,000 ต้นสำหรับในปี 2025 นี้ โฮมโปรคาดหวังว่า ว่าการร่วมมือกับโครงการวิจัยและพัฒนาตลาดคาร์บอนครัวเรือนภาคสมัครใจ จะมีการแจกคะแนนโฮมการ์ดรวมกว่า 3 ล้านคะแนน และมีเป้าหมายครัวเรือนร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 300 ครัวเรือน สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไม่ต่ำกว่า 1,200 ตันคาร์บอน หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 120,000 ต้น  #Homesolar #โฮมโซลาร์ # เศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ #โฮมโปร #HomePro #BetterLivingเพื่อชีวิตที่ดีกว่า #มูลนิธิพลังงานสะอาดเพื่อประชาชน #สถาบันวิจัยพหุศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

“ไตเสื่อม” ไม่แสดงอาการ… แต่ผลลัพธ์ร้ายแรงแพทย์เตือน!!! คนไทยควรดูแล “ไต” ให้แข็งแรง ก่อนสายเกินไป

“ไต” อวัยวะเล็กๆ ที่มักถูกมองข้าม แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งในร่างกาย ทำหน้าที่ขจัดของเสีย ควบคุมสมดุลน้ำ เกลือแร่ และความดันโลหิต หากปล่อยให้ “ไตเสื่อม” โดยไม่รู้ตัว ผลลัพธ์อาจร้ายแรงจนส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว ข้อมูลทางการแพทย์เผยว่า คนไทยกว่า 17.6% กำลังเผชิญกับโรคไตเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว และในแต่ละปีมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคไตยังเป็นสาเหตุอันดับ 6 ของการเสียชีวิตทั่วโลกและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี

พญ.ชโลธร แต้ศิลปสาธิต อายุรแพทย์โรคไตจากโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “ไตเสื่อม” เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนไม่รู้มาก่อน เนื่องจากในระยะแรกอาจไม่มีอาการใดๆ แต่อาจกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตในอนาคต ไตมีหน้าที่สำคัญในการกรองของเสียและควบคุมสมดุลต่างๆ เช่น ความดันโลหิตและระดับน้ำในร่างกาย หากไตเสื่อมโดยไม่รู้ตัว อาจนำไปสู่ “โรคไตวายเรื้อรัง” ซึ่งต้องการการฟอกเลือดหรือปลูกถ่ายไตสถานการณ์ “โรคไต” ในประเทศไทยน่าเป็นห่วง ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกที่มีอัตราผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังสูงที่สุด ขณะนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังขึ้นทะเบียนถึง 11.6 ล้านคน และเกือบ 90,000 คนต้องฟอกเลือดทุกปี                                                 

โดยสาเหตุหลักของโรคไตเรื้อรังในไทย ได้แก่

  1. โรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุม
  2. โรคความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการดูแล
  3. การใช้ยาไม่เหมาะสม เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุด ยาลูกกลอน, ยาปฏิชีวนะที่ใช้ผิดวิธี
  4. โรคทางเดินปัสสาวะอุดตัน เช่น นิ่ว เนื้องอก ต่อมลูกหมากโต
  5. โรคไตอักเสบจากโรคภูมิคุ้มกัน เช่น SLE
  6. ปัจจัยทางพันธุกรรม เช่น โรคซีสต์ที่ไต

พญ.ชโลธร กล่าวเพิ่มเติมว่า สัญญาณของโรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะตามค่า eGFR โดยในระยะ 1-3 มักไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคไต อาการจะเริ่มชัดเจนในระยะที่ 4-5 เช่น ปัสสาวะออกน้อย ขาบวม หนังตาบวม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน โลหิตจาง เมื่ออายุเกิน 30 ปี อัตราการทำงานของไตจะค่อยๆลดลงทุกปีเป็นปกติ แต่ถ้ามีโรคประจำตัวบางอย่างที่ส่งผลต่อไต เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อาจทำให้การทำงานของไตลดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นจึงแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ โดยอาจเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป

สำหรับวิธีการรักษาโรคไตในปัจจุบันมี 3 วิธีหลักคือ1.      การฟอกเลือด (Hemodialysis) ทำที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ฟอกไต 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 4 ชั่วโมง2.      การฟอกไตทางหน้าท้อง (Peritoneal Dialysis) ทำที่บ้านได้ แต่ต้องดูแลความสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ3.      การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplant) โดยการบริจาคจากญาติหรือผ่านศูนย์บริจาคอวัยวะ มีคุณภาพชีวิตดีกว่าการฟอกไตและอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าวิธีอื่นพญ.ชโลธร กล่าวสรุปว่า “การป้องกันโรคไตเริ่มต้นจากการดูแลตัวเองง่ายๆ ดังนี้1.      หลีกเลี่ยงการกินอาหารเค็ม (โซเดียมเกิน 2 กรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือแกงเกิน 1 ช้อนชาต่อวัน)2.      หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดประเภท NSAIDs, ยาสมุนไพรไทยและจีน, ยาชุดที่มีผลต่อไต3.      หยุดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อยๆ การสูบบุหรี่ การดื่มน้ำน้อย และการกินอาหารแปรรูป สำหรับผู้ป่วยโรคไตอยู่แล้ว ควรควบคุมโรคต้นเหตุ เช่น เบาหวาน ความดันสูง กินยาตามแพทย์สั่งและจำกัดอาหารที่มีโซเดียม และฟอสฟอรัส การดูแลไตไม่ใช่เรื่องที่สามารถมองข้ามได้ ควรเริ่มต้นดูแลตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป     เพื่อรักษาสุขภาพไตในระยะยาว”

COSMAX เดินหน้าก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เปิดตัว Q2 ปี 69 มุ่งเป้ายกระดับอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทย แข่งขันบนตลาดโลก

ประเทศไทย…เตรียมก้าวสู่อีกขั้นของการแข่งขันบนตลาดเครื่องสำอางโลก หลังการประกาศการมาของโรงงานผลิตสินค้าความงามมาตรฐานสากลแห่งใหม่ ภายใต้การนำของ ‘COSMAX’ บริษัท ซีโอเอสเอ็มเอเอ็กซ์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำด้านการผลิตสินค้าความงามระดับโลก มากกว่า 600 แบรนด์ จากเกาหลี ที่เตรียมขยายขีดความสามารถและสร้างความแตกต่างให้เครื่องสำอางไทย ด้วยกระบวนการผลิตจากเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ให้ทั้งความแม่นยำและคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการครอบคลุมทั้งลูกค้าไทยและต่างประเทศ ปริมาณกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า บนพื้นที่รวม 35,995 ตร.ม. โดยมีพื้นที่ผลิตที่มีระบบอัตโนมัติ การจัดการที่ทันสมัย ช่วยลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และพื้นที่คลังสินค้าที่ตอบสนองทุกออเดอร์อย่างรวดเร็ว-ตรงเวลา

โรงงานผลิตเครื่องสำอางและสกินแคร์แห่งใหม่ของ COSMAX ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ และเตรียมจัดพิธีเปิดหน้าดินในวันที่ 27 มีนาคม 2568 นี้ โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย, เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), รองผู้ว่าราชการ                               จ.สมุทรปราการ รวมถึงบุคคลสำคัญในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง มาร่วมแสดงความยินดีกับก้าวสำคัญของวงการเครื่องสำอางไทย ที่คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง Q2/2569 ปีหน้า