เจ็ทส์ ฟิตเนส พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้ ฉลองให้ทุกคนกลับมาฟิต ด้วยดีลสุดพิเศษ มอบส่วนลดสมาชิก 50%

  • เจ็ทส์ ฟิตเนส ในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมเปิดให้บริการแล้ววันนี้
  • ฉลองต้อนรับสมาชิก พร้อมขึ้นแท่นเป็นผู้นำธุรกิจฟิตเนสอันดับหนึ่ง ด้วยโปรโมชั่นสุดพิเศษ มอบส่วนลดค่าสมาชิก 50 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์
  • ผู้สมัครสมาชิกรับฟรีประกันโควิด-19 คุ้มครอง 1 ปี วงเงินสูงสุด 1 แสนบาท พร้อมสิทธิ์ลุ้นรับสมาชิกฟิตเนสกับเจ็ทส์ นานสูงสุด 10 ปี และรางวัลอีกมากมาย มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท*
  • ยังคงให้ความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพและความปลอดภัยของสมาชิกและพนักงาน ด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามที่ราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด

เจ็ทส์ ฟิตเนส ผู้นำธุรกิจฟิตเนสที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย พร้อมเปิดให้บริการทุกสาขาทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ ระหว่างเวลา 8.00 – 22.00 น. โดยคลับในกรุงเทพฯ จะเปิดบริการตามปกติ 24 ชั่วโมง พร้อมบริการเทรนเนอร์ส่วนตัว ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป ส่วนคลาสออกกำลังกายแบบกลุ่มยังคงงดให้บริการ จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เจ็ทส์ ฟิตเนส ยังคงรักษามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 และข้อปฏิบัติตามที่ราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่สมาชิกที่มาใช้บริการ

เจ็ทส์ ฟิตเนส ฉลองต้อนรับสมาชิกให้กลับมาฟิตแอนด์เฟิร์มอีกครั้ง พร้อมตอกย้ำตำแหน่งผู้นำธุรกิจฟิตเนสในไทยด้วย 35 สาขาทั่วประเทศ ด้วยแคมเปญโปรโมชั่นสุดพิเศษ “เฟิร์มคนละครึ่ง” ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงฟิตเนสและสุขภาพที่ดีได้อย่างไร้กังวล โดยจะได้รับส่วนลด 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับค่าสมาชิกรายเดือน พร้อมประกันโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท และสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564

มร. ไมค์ แลมบ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เจ็ทส์ ฟิตเนส ภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่กรุงเทพมหานครประกาศให้ฟิตเนสสามารถกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง เราเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมฟิตเนสมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและแข็งแรง เพราะการออกกำลังกายเป็นประจำเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย1 ที่ผ่านมา นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เราได้ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด วันนี้ เจ็ทส์ ฟิตเนส จึงพร้อมต้อนรับสมาชิกให้กลับมาใช้บริการได้ทันที”

มร. เดน แคนท์เวล ผู้จัดการประจำประเทศไทยของเจ็ทส์ ฟิตเนส กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำธุรกิจฟิตเนสอันดับหนึ่งในไทย ครอบคลุม 35 สาขาทั่วประเทศ ในปีนี้ เจ็ทส์ ฟิตเนส ยังมีแผนที่จะขยายสาขาเพิ่มอีก 8 แห่ง เรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีสุขภาพที่ดี ผ่านการส่งมอบประสบการณ์ฟิตเนสระดับโลกที่สะดวก เข้าถึงง่าย จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ตระหนักว่า การมีสุขภาพที่ดี ร่างกายที่แข็งแรง เป็นของขวัญอันล้ำค่า เพื่อให้ทุกคน สามารถเข้าถึงการออกกำลังกายในมาตรฐานระดับโลก เจ็ทส์ ฟิตเนส จึงพร้อมมอบแคมเปญแห่งปี ‘เฟิร์มคนละครึ่ง’ เพื่อช่วยให้สมาชิกได้กลับมาฟิตเพื่อบรรลุเป้าหมายเพื่อสุขภาพได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่าย”

เจ็ทส์ ฟิตเนส ส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีกับแคมเปญสุดคุ้ม “เฟิร์มคนละครึ่ง” สมัครสมาชิกใหม่ เจ็ทส์ช่วยจ่าย 800 บาท พร้อมรับประกันโควิด-19 ผู้สมัครยังมีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลอีกมากมายมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ด้วย 3 ตัวเลือกสุดพิเศษตลอดช่วงโปรโมชั่นนี้ ได้แก่

Get Fit with Jetts: สมาชิกใหม่รับส่วนลดค่าสมาชิกฟิตเนสรายเดือน 50 เปอร์เซ็นต์ (800 บาท สำหรับค่าสมาชิก เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง และ 950 บาท สำหรับค่าสมาชิก เจ็ทส์ แบล็ก) ฟรี ค่าแรกเข้าและค่าบัตรสมาชิก (มูลค่า 3,000 บาท) ประกันโควิด-19 คุ้มครอง 1 ปี วงเงินสูงสุด 1 แสนบาท และสิทธิ์ลุ้นรับสมาชิกเจ็ทส์ ฟิตเนส สูงสุด 10 ปี และของรางวัลอีกมากมาย

Get Strength with Jetts: สมาชิกปัจจุบันหรือสมาชิกใหม่สามารถฟิตหุ่นพร้อมอัพเลเวลความแข็งแรงด้วยโปรแกรมเทรนเนอร์ส่วนตัวออนไลน์ (PT Online) ในราคาเพียง 1,500 บาท (จากเดิม 3,000 บาท) สำหรับแพคเกจ 3 ครั้ง พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับสมาชิกเจ็ทส์ ฟิตเนส สูงสุด 10 ปี และของรางวัลอีกมากมาย

Get Fit with Friends: สมาชิกปัจจุบันที่ชวนเพื่อนมาสมัครสมาชิก เจ็ทส์ ฟิตเนส รับส่วนลดสมาชิกฟิตเนสรายเดือน 50 เปอร์เซ็นต์ ต่อการแนะนำเพื่อนที่มาสมัครสมาชิก 1 ท่าน พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับสมาชิกเจ็ทส์ ฟิตเนส สูงสุด 10 ปี และของรางวัลอีกมากมาย

สมาชิก เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง สามารถเข้าใช้บริการได้ที่ เจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง 33 สาขาทั่วประเทศ ส่วนสมาชิก เจ็ทส์ แบล็ก สามารถเข้าใช้บริการฟิตเนสของเจ็ทส์ได้ทุกสาขา ได้แก่ เจ็ทส์ แบล็ก สาขาเดอะปาร์ค และเกษรวิลเลจ รวมถึงเจ็ทส์ ฟิตเนส 24 ชั่วโมง อีก 33 สาขา เจ็ทส์ ฟิตเนส มีความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบประสบการณ์ฟิตเนสระดับโลก พร้อมด้วยอุปกรณ์ทันสมัยมาตรฐานสากล คลาสต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพอย่างสะดวก ในทุกช่วงเวลาที่ต้องการ อีกทั้งยังเล่นได้ทุกอย่างไม่จำกัด ในราคาที่คุ้มค่า โดยไม่มีข้อสัญญาผูกมัดรายปี พร้อมให้ความสำคัญสูงสุดกับสุขภาพและความปลอดภัยของสมาชิกและพนักงาน ด้วยมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการรักษาระยะห่าง การทำความสะอาดอุปกรณ์และพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย การจัดเตรียมแอลกอฮอล์เจลตามจุดต่างๆ และการควบคุมจำนวนสมาชิกไม่ให้แออัด ตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่อีเมล info@jetts.co.th เฟซบุ๊ก www.facebook.com/JettsThailand หรือไลน์ @Jettsthailand

แม็คโคร เปิดบริการ “สั่งล่วงหน้า” สินค้าไหว้คุณภาพ ครบจบในคลิกเดียว ชูของสุขภาพดี-หลากหลาย-ราคาปัง รับตรุษจีนยุคโควิด

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เพิ่มประสบการณ์จับจ่ายรับตรุษจีนยุคโควิด ด้วยบริการ “สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า” ผ่านแม็คโครคลิกดอทคอม และ แม็คโครแอปพลิเคชั่น เพิ่มประสบการณ์ซื้อสินค้าไหว้รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น เน้นสินค้าสุขภาพดี หลากหลาย ราคาปัง ชูความคุ้มค่าในช่วงเวลารัดเข็มขัด

นายจักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอีคอมเมิร์ซ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ตรุษจีนปีนี้ แม็คโครทำการสำรวจพฤติกรรมลูกค้าผู้ประกอบการ ผู้บริโภค พบว่าลูกค้าสนใจจะสั่งซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อสินค้าตรุษจีนแบบสั่งซื้อล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ แม็คโครจึงได้เปิดตัวบริการ สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า สำหรับเทศกาลตรุษจีน ผ่าน แม็คโครคลิกดอทคอม makroclick.com และแม็คโคร แอปพลิเคชั่น เริ่มสั่งได้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564  โดยสามารถเลือกวันรับสินค้าได้ในวันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ 2564

“ตรุษจีนปีนี้ เป็นช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แม้จะส่งผลกับผลประกอบการ รายได้ แต่ชาวไทยเชื้อสายจีนยังคงให้ความสำคัญกับการไหว้ตามประเพณี เพียงแต่ปรับรูปแบบ วิธีการซื้อสินค้า งบประมาณในการซื้อ เพื่อให้เหมาะสม  การมีบริการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เป็นการเพิ่มประสบการณ์จับจ่ายยุคดิจิทัล ที่ทำให้ลูกค้าทุกกลุ่มสะดวก ปลอดภัย เราจึงได้นำสินค้าสำหรับเทศกาลตรุษจีนที่หลากหลาย เน้นคุณภาพสินค้า ในราคาคุ้มค่า เหมือนเป็นอั่งเปาที่แม็คโคร ตั้งใจจัดให้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกคนก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปด้วยกัน”

สำหรับรายการสินค้าตรุษจีน ในบริการ สั่งซื้อล่วงหน้า ผ่านแม็คโครคลิกดอทคอม จะมีสินค้าที่คัดสรรแล้วกว่า 50 รายการ อาทิ ชุดหมูสำหรับไหว้ (สะโพก สามชั้น), ชุดผลไม้ไหว้ 5 มงคล และ 9 มงคล, ไก่, เป็ด, ปลากะพง, ขนมเข่งขนมเทียน,ชุดโหวงเปี๊ยะ, ส้มสายน้ำผึ้งกล่องตรุษจีน, ส้มโอสำหรับไหว้, หมึกหนังไหว้ 9-11นิ้ว, กุ้งขาว, ขนมเปี๊ยะ, บัวลอย, พุทราเชื่อม, ซาลาเปา ฯลฯ

นอกจากนี้ยังร่วมกับพันธมิตรทางการค้าอย่าง เอสเพียว เบทาโกร และซีพี จัดชุดไหว้ในแบบต่างๆ จำหน่ายในราคาพิเศษ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายสะสมแต้มชิงรางวัลลุ้นโชคให้กับสินค้าประเภทอื่นๆ ที่สั่งผ่านช่องทางแม็คโครคลิกดอทคอมด้วย

โดยสามารถสั่งซื้อสินค้าตรุษจีนผ่านแม็คโครคลิกดอทคอม และแม็คโครแอปพลิเคชั่น ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2564 โดยจะมีบริการส่งสินค้าไหว้ให้ลูกค้าระหว่างวันที่ 9 -10 กุมภาพันธ์  ก่อนถึงวันไหว้ของเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พร้อมส่งฟรี เมื่อซื้อสินค้า 2,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ

ทั้งนี้ แม็คโครได้คุมเข้มมาตรการด้านอาหารปลอดภัยตลอดกระบวนการจนถึงมือผู้บริโภค  ตามมาตรการป้องกันโควิดที่ได้รับการรับรองจากกรมอนามัยในการเป็นสถานประกอบการปลอดภัยป้องกันโควิด-19 ในทุกสาขา และดำเนินมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้นตลอดขั้นตอนการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับการซื้อขายสินค้าในยุคชีวิตวิถีใหม่

Klook ระดมทุนเพิ่มกว่า 6,000 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจเทคโนโลยีท่องเที่ยว

(จากซ้ายไปขวา) เอริค น็อก ฟาห์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท, อีธาน หลิน ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท และ เบิร์นนีย์ เซียง ประธานฝ่ายเทคโนโลยีและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท 

Klook แพลตฟอร์มการจองกิจกรรมและบริการด้านการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ได้ประกาศว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงด้านเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีก 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนหลักในระดับ Series E นี้ ได้รับจากบริษัทผู้ลงทุนรายใหม่คือ บริษัท Aspex Management ซึ่งเป็นผู้ลงทุนที่เน้นการลงทุนในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก นอกจากนั้นยังมีกลุ่มผู้ลงทุนรายเดิมได้แก่ Sequoia Capital China, Softbank Vision Fund 1, Matrix Partners China, และ Boyu Capital ด้วย

ในช่วงปีที่ผ่านมา Klook เผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งทำให้ทางบริษัทได้เร่งปรับกลยุทธ์และแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดยการปรับกลยุทธ์ได้ทำผ่าน 2 แนวทางหลัก ๆ แนวทางแรก ได้แก่ พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลในการจองกิจกรรมบริการท่องเที่ยว และแนวทางที่สองคือ การนำสินค้าท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์มาให้บริการ เช่น Staycation และ บริการเช่ารถ จากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่า ในกลุ่มประเทศที่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น สิงคโปร์, ฮ่องกง และไต้หวันนั้น มีการจองกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มสูงขึ้น จนตัวเลขการจองพุ่งไปเกือบเท่ายอดการจองในช่วงก่อนการระบาด ทั้งนี้เพราะกลุ่มคนในท้องถิ่นเริ่มค้นหาและทดลองกิจกรรมและบริการการท่องเที่ยวในประเทศเพื่อทดแทนการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ 

อีธาน หลิน ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Klook กล่าวว่า “ท่ามกลางความท้าทายของปี 2563 Klook ได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าตัดสินใจของบริษัท เราสามารถพลิกความท้าทายและอุปสรรคไปสู่โอกาสและการเติบโตได้ด้วยนวัตกรรมและความคล่องแคล่วฉับไวขององค์กร ทั้งนี้เราได้จับตามองพฤติกรรมของนักเดินทางในช่วงปีที่ผ่านมา พบว่านักเดินทางต่างต้องพยายามอดกลั้นความต้องการที่จะออกเดินทางท่องเที่ยว โดยในขณะที่ยังเดินทางไปต่างประเทศไม่ได้ พวกเขาก็จะหันมาให้ความสนใจในกิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศ และค้นหากิจกรรมหรือประสบการณ์ใหม่ ๆ ในย่านที่คุ้นเคยเพื่อเป็นการทดแทน”​ อีธาน หลิน ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า  “การลงทุนครั้งล่าสุดนี้จะช่วยตอกย้ำความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำในธุรกิจเทคโนโลยีการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และจะช่วยเปลี่ยนสถานะจากการเป็นฝ่ายตั้งรับ มาเป็นฝ่ายรุก เนื่องจากสถานการณ์การท่องเที่ยวในประเทศกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะค่อย ๆ ฟื้นกลับมาอีกครั้ง” 

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ธุรกิจในแวดวงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากขนาดไหนจากภาวะการแพร่ระบาดของไวรัส แต่อย่างไรก็ตาม Klook ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัว และศักยภาพในการลุกกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เรามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า หลังสถานการณ์ COVID-19 การจองกิจกรรมการท่องเที่ยวด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลจะยิ่งได้รับความนิยม และด้วยศักยภาพของ Klook ในการที่จะก้าวไปสู่การเป็น “แพลตฟอร์มครบวงจร” ที่ให้บริการด้านการจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาค ทำให้เรายิ่งมั่นใจในการระดมทุนในครั้งนี้เป็นอย่างมาก” แอร์เมส ลี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลสารสนเทศ และผู้ก่อตั้ง Aspex Management กล่าว 

Klook เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล มุ่งแก้ปัญหาและยกระดับการบริการท่องเที่ยวให้ผู้ประกอบการ

ในช่วงเวลาที่หลายประเทศต้องเผชิญหน้ากับการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่อง Klook ได้มองเห็นแนวโน้มในแวดวงผู้ประกอบการการท่องเที่ยวว่า ผู้ประกอบการหลายท่านให้ความสนใจและเห็นความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยจะเห็นได้ว่า แม้ในช่วงเวลาที่การแพร่ระบาดยังคงทวีความรุนแรง แต่ Klook สามารถเพิ่มจำนวนกิจกรรมและบริการการท่องเที่ยวได้สูงขึ้นถึง 150% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 จากแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงตั้งเป้าว่า จะนำเงินระดมทุนก้อนใหม่นี้มาลงทุนและพัฒนาระบบที่เรียกว่า SaaS ที่จะช่วยแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวได้เพิ่มขีดความสามารถในการ สร้าง จัดการ และยกระดับการให้บริการของธุรกิจท่องเที่ยวไปกับ Klook 

ปัจจุบัน ระบบ SaaS ได้ถูกนำมาใช้กับผู้ประกอบการมากกว่า 2,500 บริษัททั่วโลก และสามารถสร้างยอดการจองได้มากกว่าหนึ่งล้านครั้ง ด้วยศักยภาพของระบบ SaaS นี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการจำนวนมากสามารถที่จะปรับเปลี่ยนและกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจ โดยผู้ประกอบการสามารถสร้างหน้ากิจกรรมหรือบริการท่องเที่ยวออนไลน์บน Klook ได้อย่างง่ายดาย ทั้งนี้ระบบดังกล่าวได้ถูกออกแบบและสร้างโดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับหลากหลายหน้าที่  เช่น การดำเนินการออกตั๋ว, การจัดจำหน่าย, การจัดการสินค้า​, การตลาด และอื่นๆ 

“พวกเรากำลังก้าวกระโดดเข้าสู่ยุคใหม่ของโลกดิจิทัล จากเดิม นักท่องเที่ยวคุ้นชินกับการจองกิจกรรมท่องเที่ยวแบบออฟไลน์หรือใช้ระบบการจองแบบเดิมๆ แต่ ณ วันนี้ ระบบเหล่านั้นไม่สามารถตอบโจทย์โลกในยุคหลัง COVID-19 ได้อีกต่อไป ก่อนหน้านี้ Klook มีการทำงานร่วมกันกับผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายย่อยเพื่อค้นหาปัญหาหรืออุปสรรคเพื่อจะพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีรวมถึงระบบต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น และด้วยเงินระดมทุนในครั้งนี้ จะเปรียบเหมือนการเติมสรรพาวุธให้เรา ช่วยเพิ่มศักยภาพให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ไปจนถึงสามารถเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพลังให้กับธุรกิจท่องเที่ยวในอนาคตได้อย่างแท้จริง” เอริค น็อก ฟาห์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Klook กล่าว

ในครึ่งปีหลังของ พ.ศ 2563 Klook ได้ทดลองพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ที่สามารถเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการการท่องเที่ยว ได้แก่

  • Contact Tracing System: ระบบดังกล่าวนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายและได้เริ่มต้นให้บริการกับผู้ประกอบการกิจกรรมท่องเที่ยวในฟิลิปปินส์ โดยระบบนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถติดตามตัวลูกค้าได้ ในกรณีที่หากพบว่ามีผู้ติดเชื้อ และต้องการแจ้งหรือติดตามกลุ่มลูกค้าที่อาจเป็นกลุ่มเสี่ยง
  • Attraction Plus: ระบบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาใช้ในกิจกรรมการท่องเที่ยวและสถานประกอบการเป็นหลัก โดยจะช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่ เช็คเวลาที่แท้จริงในการรอคิวเครื่องเล่น, ค้นหาร้านอาหาร ไปจนถึงแนะนำแผนการท่องเที่ยว
  • Klook Live!: ฟังก์ชันการ Live บนแอพพลิเคชัน Klook ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าถึงดีลพิเศษจากผู้ประกอบการได้อย่างสะดวก รวมถึงสามารถโต้ตอบพูดคุยกับ Klook ได้อย่างสนุกสนานผ่านการ Live โดยเบื้องต้นพบว่า Klook Live สามารถเพิ่มเปอร์เซ็นต์ยอดขายเมื่อเทียบกับสัดส่วนผู้เข้าชมเว็บไซต์/สินค้า ได้สูงขึ้นถึง 4 เท่า 

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับองค์การการท่องเที่ยวในแต่ละประเทศ เช่น องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวฮ่องกง, องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวญี่ปุ่น, องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี, องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวสิงคโปร์, และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยสนับสนุนและเสริมความแข็งแกร่งในด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดย Klook ได้ถูกรับเลือกให้เป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการในโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ “SingaporeRediscovrs Voucher (SRV)” ให้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับจองกิจกรรมท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศสิงคโปร์ 

“โรบินฮู้ด” แอปพลิชันฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติไทย

ในยุคโควิด ธุรกิจที่มาแรง แซงโค้งหลากหลายธุรกิจ คงจะหนีไม่พ้นธุรกิจ”ฟู้ดเดลิเวอรี่” ค่ะคุณขา เพราะบนท้องถนนเห็นพนักงานส่งอาหาร หรือ ไรเดอร์ ขับรถกันขวักไขว่ ส่งบ้านนั้น ออกบ้านนี้ แทบจะชนกัน เหตุเพราะคนส่วนใหญ่ WFH (Work&Learn From Home) ประกอบกับหลากหลายแบรนด์ก็อัดโปรฯ กันกระจุยกระจาย ขนาดค่าขนส่งแทบจะฟรีกันเลยทีเดียว

ล่าสุด “โรบินฮู้ด”แอปพลิชันฟู้ดเดลิเวอรี่สัญชาติไทย โดย บริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือเอสซีบี เท็นเอกซ์ (SCB 10X) ก็เอากับเค้าด้วย แทคทีมจับมือกับ “เอไอเอส” นำโดยคุณพี่กุ้งบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล ผู้บริหารหน่วยงานธุรกิจดูแลลูกค้าและสิทธิประโยชน์ มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าอาหารสุดปัง! สูงสุด 50 บาท ให้กับลูกค้าเอไอเอส เพียงใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน myAIS เพื่อความสะดวกสบายให้ลูกค้าฟู้ดเดลิเวอรี่ ได้อิ่มสะดวกกับเมนูโปรด แบบอุ่นใจ และปลอดภัย

เอิ่ม! ถือว่าตอกย้ำผู้นำด้าน Loyalty Program ของเอไอเอส ที่พร้อมดูแลลูกค้าทุกเจเนอเรชันให้อุ่นใจทุกช่วงเวลา และช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านค้ารายเล็กได้เพิ่มโอกาสในการขาย และไรเดอร์ มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย…โอ้ว์ว้าวววว เริ่ดสุดในสามโลกคร๊าคุณขา

องค์กรรัฐ-เอกชนถอดรหัสลงทุนในเวียดนามศก.โต เผยแผนยุทธศาสตร์ โอกาสทองของนักลงทุนไทย

สภาธุรกิจไทย–เวียดนาม ร่วมกับสถานทูตเวียดนามประจำประเทศไทย  และบริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) จัดแถลงข่าวในห้วข้อ “โอกาสทองสำหรับนักลงทุนไทยในเวียดนาม” ร่วมเปิดมุมมองถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศเวียดนามในปัจจุบันและอนาคตโอกาสของนักลงทุนไทย

นายฟัน จิ้ ทัน เอกอัครราชทูตเวียดนามประจำประเทศไทย กล่าวว่า แม้ว่าปี 2563 เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เวียดนามเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในโลกที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงบวก (GDP) ที่มีการเติบโตถึง 2.91 % ในปี 2020 เนื่องจากสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่ช่วงแรก โดยอัตราการเติบโตของ GDP เวียดนามในช่วงปี 2559-2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 5.9% ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในโลก ส่งผลให้แนวโน้มเศรษฐกิจของเวียดนามในปี 2564 สดใสโดยองค์กรการเงินระหว่างประเทศ อาทิ World Bank, International Monetary Fund, Asian Development Bank คาดการณ์ไว้ว่า GDP จะเติบโตอยู่ที่ 6.5-7.0%

“ปัจจัยที่เอื้อให้มีการเข้ามาลงทุนจำนวนมากเพราะเวียดนามมีเสถียรภาพทางการเมืองสูง มีแรงงานจำนวนมาก และด้วยขนาดของตลาดในประเทศที่มีประชากรสูงถึง 100 ล้านคน และที่สำคัญเวียดนามยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมโยงกับตลาดอาเซียน จีนและอีกหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เวียดนามเป็นเป้าหมายของนักลงทุนกว่า 132 ประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุนโดยปัจจุบันนักลงทุนชาวไทยเข้ามาในประเทศเวียดนามเวียดนามถึง 603 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 13 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 400 พันล้านบาทจัดอยู่ที่ลำดับ 9 ที่มีเข้ามายังเวียดนาม ” นายฟัน จิ้ ทัน กล่าว

อย่างไรก็ตามในอีก 5 ปี 2564-2568 ข้างหน้ารัฐบาลเวียดนามได้วางแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ 10 ปี การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจฉบับใหม่ปี 2564-2573 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาแห่งชาติเวียดนามที่คาดว่าจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศให้มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเดินหน้าพัฒนาความสัมพันธ์แบบทวิภาคีกับประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทยที่สามารถนำไปสู่การสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้ามาในประเทศเวียดนามมากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า  เวียดนามยังเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศซึ่งรวมถึงนักลงทุนไทยเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีทั้งความท้าทายและโอกาสสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นความสำเร็จของการลงทุนของไทยในเวียดนามในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของนโยบายการลงทุนในปัจจุบัน และการสนับสนุนของรัฐบาลเวียดนาม การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามรวมถึงการเติบโตของหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ความสามารถของนักธุรกิจไทยและนักลงทุนในเวียดนามในการร่วมมือกันซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญในการเติบโตและการอยู่รอดในอนาคต

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม กล่าวว่า ประเทศเวียดนามมีประชากรในวัยทำงานจำนวนมาก และมีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่ำทำให้ตลาดเวียดนามมีกำลังซื้อสูง อีกทั้งการส่งออกสินค้ามีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยในปีที่ผ่านมามีการส่งออกรวมมูลค่าถึง 281,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ดุลการค้า 19,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯซึ่งเป็นผลจากการทำความตกลงด้านการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวม 17 ฉบับ ขณะเดียวกันเวียดนามให้สิทธิพิเศษในด้านภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจการค้าและการลงทุน (Ease of doing business) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการลงทุน การก่อสร้างสาธารณูปโภค และอื่นๆ นับเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่ส่งผลให้เกิดการลงทุนในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง

นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ. อมตะวีเอ็น (AMATAV) กล่าวในมุมมองของผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามว่า อมตะเชื่อในการเติบโตของเวียดนาม นั่นคือเหตุผลที่อมตะอยู่ในเวียดนามมานานกว่า 26 ปี และถือว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ โดยปัจจุบันอมตะมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอยู่ทั้งทางตอนเหนือและตอนใต้ของเวียดนาม มีทั้งหมด 6 โครงการรวมพื้นที่พัฒนา 2,500 เฮกตาร์หรือ 15,625 ไร่ ด้วยเงินลงทุนประมาณ 840 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 27,200 ล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลเวียดนามอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาสังคม – เศรษฐกิจ อมตะวีเอ็นก็ได้วางเป้าหมายในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนามสู่การเป็น “เมืองอัจฉริยะ” ซึ่งแนวคิดเมืองอัจฉริยะครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน ชุมชน การผลิต การขนส่งและคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยี และการจัดการสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ซึ่งมีความสอดรับกับแผนพัฒนาประเทศของเวียดนามอีกด้วย

RS Expects 5.7 Billion All Time High Sales in 2021 Thanks to “Entertainmerce” Model Amidst Global Pandemic

RS Public Company Limited or RS Group, as one of the few Thai corporations that could prevail during the COVID-19 situation, has brought a steady growth to its business in the past years. In 2021, with its solid model of “Entertainmerce”, together with the growing e-commerce business, in line with the global major trends, and the start of new business, will exponentially accelerate the company’s growth, leading to the all-time high revenue surpassing 5.7 billion baht.

Surachai Chetchotisak, the Chief Executive Officer of RS Public Company Limited, revealed that “Even though the pandemic has unpredictably affected all sectors in the previous year, but RS was able to adapt quickly and responded to the situation in a timely manner with suitable plans. This includes our proven Entertainmerce modelthat has brought us a new high consecutively in every quarter.”

In the upcoming 2021, amidst the reinfection of COVID-19, RS Group believes that there are four factors that will bring forth exponential growth for the company:

  1. Continuous development of RS Mall, supporting the major global megatrend and the growth of the database, which currently serves more than 1.6 million users and is expected to reach 2 million at the end of 2021
  2. The exponential growth of Lifestar through new products on every platform besides RS Mall
  3. Revenue from the content-driven strategy on Channel 8,  COOLISM, and RS Music
  4. Merger and acquisition (M&A) that synergizes with our Entertainmerce model

Each business is strategized as follow:

E-Commerce

RS Mall

RS Mall, an integrated platform for selling products and services across sectors, with a goal to fulfill its customers with happiness and forge a health partnership, has centered itself on the current global trend on healthcare and focuses on the high-purchase power silver generation, or the “young old”, which is the core of our business model. To expand our capabilities, RS Mall expects a 30% inbound growth from Channel 8, digital television channel partners, and channels on satellite television. For the outbound growth, the company foresees great potential in telesales and a double growth rate in online channels, from these factors:

  1. Exponential growth in the all-dimensional health product line, which is the core RS Mall, as well as the delivery of niche products that able to answer the specific needs of different groups of customers
  2. Being a virtual store still holds an advantage over the uncertainties during the pandemic. Meanwhile, the readiness of the staff in delivering helpful health-related advice also boost the confidence of customers and able to close more sales compared with other online stores
  3. Strong CRM leads to a repurchase of 2.4 times/year. This includes the product quality and quantity variety that answers different health-related needs. Able to reach out to the staff to consult about health and wellbeing also builds customer trusts in the product
  4. The use of technologies to help us understand more about our customers, whether the customer data platform that analyzes various dimensions of customer data to offer the right product and service promptly, or the use of voice analytics to improve our service quality by using a recorded conversation between the staff and the customer to find the unmet demand, or the distribution of predictive dialing system (PDS) across different groups of customers, which doubles the staff performance

Lifestar Co., Ltd.

As a global distributor of health and beauty innovations, this is a great year for Lifestar. More variety of products will be offered to meet the needs of health-conscious customers and new lifestyle trends. New product category would be added under a new brand to fully enter the mass market, as well as the expansion of business covering functional drinks, innovative health products, and pet food, in which Lifestar will also expand its distribution channels to suitably serve each product category through mass market, through e-commerce, and will continue to sell Lifestar products through RS Mall.

Media and Entertainment Business

Channel 8

With the content-driven marketing for each target audience, content distribution at a specific time using a specific method to reach the target audience, as well as a right content placement that is easily accessible following the previous year’s highly successful “4-legged chair” strategy, all this makes Channel 8 stands out from other digital TV counterparts. Channel 8 is the only one that receives revenue from the advertisement; RS Mall or the company’s commerce business, organizing events; selling and remaking contents, which can be found on Channel 8 official account and via other partners. With the primary strategy to appropriately tap on lifestyle contents, the company is expected to reach out to more than a total of 50 million viewers at the end of 2021.

COOLISM

By focusing on the “3-river” strategy, the leading COOLfahrenheit, a Thai urban music station, is able to garner more than 3.7 million listeners both on-air and online by targeting premium mass with expressive lifestyles through food, travel, online shopping, and participated events. The business has been reaching out to young generations by partnering up with other online platforms and COOLive that cooperates with music industry and organizes concerts and activities throughout the year. Our aim is to connect our customers on all platforms while maintaining the number one rating and extend the “Entertainmerce model”, through the development of our shopping platform – COOLanything – on mobile and on the website to meet the needs of the listeners as they simultaneously shop and enjoy the music, as well as offer them products and promotions that match with the lifestyle of COOLfahrenheit audience.

RS Music

As we still see the importance of our strong music library copyright management and the renewed interest in “Growing up with RS”, we strive to add more values to each artist’s social media, including 9 new artists from 3 record labels and existing artists with bold audience base, forming influencers across different lifestyles and becoming a business partner based on the Music Star Commerce model, as well as organizing concerts and various events.

Acquisition of Chase Asia Co., Ltd.

The merger and acquisition (M&A) of Chase Asia Co., Ltd. is an aggressive move towards “asset management company and personal loan lending service” business to drive horizontal growth. With the current economic landscape, the number of nonperforming loans is rising, creating an opportunity for the company to extend its Entertainmerce model and strengthen RS Group. In return, Chase Asia’s potential will be enhanced to match with those of leading companies in the stock market, as well as pave the way for the company to quickly enter the stock market itself for initial public offering, with the aim to become the leader of the industry within 2 years. Chase Asia will see itself stands out by following RS’ Entertainmerce business model, and that we will grow strong together as a whole.

“Moreover, we are still seeking for potential business partners to acquire more stocks up to 1 – 2 deals within this year to further our Entertainmerce model and enable the ecosystem of RS Group to expand without limits. With all of the strategies in 2021, along with the aggressive move towards new businesses, we believe that RS Group will definitely generate a total revenue exceeding 5.7 billion baht,” commented Mr. Surachai.

For more information on the news and updates of RS Group, please visit www.rs.co.th

อาร์เอส กรุ๊ป วางเป้าปีทะลุ 5,700 ล้านบาท สวนกระแสโควิด19 โมเดล Entertainmerce ดันทุกธุรกิจในกลุ่มเติบโตก้าวกระโดดเป็น All Time High

บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ อาร์เอส กรุ๊ป เป็นหนึ่งในไม่กี่องค์กรของไทยที่สามารถก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 และพาธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในปีที่ผ่านมา โดยในปี 2564 นี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าโมเดลธุรกิจ Entertainmerce ที่แข็งแกร่ง ร่วมกับการเติบโตของกลุ่มธุรกิจคอมเมิร์ซซึ่งสอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลก และการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ๆ จะผลักดันบริษัทฯ เติบโตแบบก้าวกระโดด สร้าง All Time High และมีรายได้รวมทะลุ 5,700 ล้านบาท

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม้ปีที่ผ่านมาสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกภาคส่วน และเป็นผลกระทบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ แต่อาร์เอสเป็นองค์กรที่ปรับตัวเร็ว สามารถตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที มีการปรับแผนให้เหมาะสมและสอดคล้อง รวมไปถึงโมเดลธุรกิจ Entertainmerce ที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จ ทำให้ผลประกอบการในปีที่ผ่านมา สามารถทำรายได้นิวไฮได้อย่างต่อเนื่องในทุกไตรมาส สำหรับแผนธุรกิจในปี 2564 นี้ แม้โควิด-19 ยังกลับมาระบาดระลอกใหม่ แต่อาร์เอส กรุ๊ป มีความพร้อมความเข้าใจในการรับมือ และมีควาสามารถในการปรับตัวตามสถานการณ์ต่างๆ เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้ดี”

โดยในปี 2564 นี้ อาร์เอส กรุ๊ป เชื่อมั่นว่าปัจจัยที่จะทำให้เราเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกครั้งมาจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1) การพัฒนาต่อเนื่องของ อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) ซึ่งสอดรับกับเมกะเทรนด์สำคัญของโลกและการเติบโตของดาต้าเบส ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.6 ล้านราย และคาดว่าจะเติบโตสูงถึง 2 ล้านราย ณ สิ้นปี 2564

2) การเติบโตแบบก้าวกระโดดของบริษัทไลฟ์สตาร์ ด้วยการออกสินค้าประเภทใหม่ๆ สู่ตลาดทุกช่องทางที่ไม่ได้ขายเพียงช่องทาง อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) เท่านั้น

3) การสร้างรายได้เพิ่มจากกลยุทธ์ Content-Driven ผ่านทางช่อง 8, COOLISM และ RS Music

4) การทำ Mergers and Acquisitions (M&A) จากการ Synergy กับโมเดลธุรกิจ Entertainmerce

ในแต่ละธุรกิจมีการวางกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้

ธุรกิจคอมเมิร์ซ

อาร์เอส มอลล์ (RS Mall) แพลตฟอร์มที่จำหน่ายสินค้าและบริการในหลากหลายกลุ่ม เพื่อเติมความสุขให้ทุกชีวิต โดยตั้งเป้าในการเป็นพันธมิตรทางด้านสุขภาพให้กับลูกค้า ซึ่งเมกะเทรนด์ที่สำคัญในปีนี้มุ่งเน้นไปที่การดูแลและใส่ใจในเรื่องสุขภาพ และกลุ่มคนรุ่นเก่า (Silver Generation หรือ Young Old) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เป็นหัวใจสำคัญของ Business Model ของอาร์เอส มอลล์ สำหรับการเติบโตทางธุรกิจ อาร์เอส มอลล์ ตั้งเป้าไว้ที่ 30% จาก Inbound ที่มาจากช่อง 8 ช่องทีวีดิจิทัลพันธมิตร และช่องทีวีดาวเทียม ช่องทาง Outbound จากเทเลเซลล์ และเติบโต 2 เท่าสำหรับช่องทางออนไลน์ จากปัจจัยดังต่อไปนี้

1. การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของกลุ่มสินค้าที่ตอบโจทย์เรื่องการดูแลสุขภาพในทุกมิติ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าหลักของอาร์เอส มอลล์ และจัดหาสินค้าเฉพาะ ผ่าน RS Mall เท่านั้น ซึ่งตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน

2. การเป็น Virtual Store ที่ยังคงเป็นข้อได้เปรียบจากสถานการณ์โรคระบาดที่ยังไม่มีความแน่นอน ในขณะเดียวกัน รูปแบบการให้บริการผ่านเจ้าหน้าที่ที่พร้อมจะให้คำอธิบายบนทุกปัญหาสุขภาพ กลับสามารถทำให้ลูกค้ามั่นใจและปิดการขายได้มากกว่าร้านค้าออนไลน์ทั่วไป

3. การสร้างระบบ CRM ที่แข็งแรง จะสามารถสร้างการซื้อซ้ำได้กว่า 2.4 ครั้งต่อปี ทั้งจากคุณภาพของสินค้า ปริมาณของสินค้าที่หลากหลายในการตอบโจทย์ความต้องการทางด้านสุขภาพ และเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพหรือ Wellbeing การได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้จะทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น 

4. การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากขึ้น ทั้งในแง่ของการสร้าง Customer Data Platform ที่นำข้อมูลของลูกค้าในหลากหลายมิติมาประมวลผลให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจ และตรงเวลากับลูกค้ามากที่สุด และการนำระบบ Voice Analytics มาปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ โดยการนำเครื่องมือไปใช้วิเคราะห์ไฟล์เสียงทั้งหมดเพื่อหา Unmet Demand จากบทสนทนาระหว่างเจ้าหน้าที่และลูกค้า และการขยายระบบ Predictive dialing system (PDS) สู่ลูกค้าทุกกลุ่ม ทำให้ประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว

บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด

ในฐานะผู้ผลิตนวัตกรรมด้านสุขภาพและความงามระดับโลก ในปีนี้นับเป็นปีที่ก้าวกระโดดของไลฟ์สตาร์ เนื่องจากจะมีการเสนอสินค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและเทรนด์การใช้ชีวิตแบบใหม่ โดยเพิ่มประเภทสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ใหม่ เข้าสู่ Mass Market อย่างเต็มตัว การเปิดตัวและก้าวสู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ Functional Drink ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง และอาหารสัตว์เลี้ยง โดยไลฟ์สตาร์จะขยายช่องทางการจำหน่ายไปสู่ช่องทางการขายที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทสินค้า ผ่าน Mass Market หลากหลายช่องทาง วางขายผ่าน E-Commerce และยังคงจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไลฟ์สตาร์ผ่าน อาร์เอส มอลล์ ด้วย 

ธุรกิจสื่อและบันเทิง

สถานีโทรทัศน์ช่อง 8

ชูกลยุทธ์ Content-Driven Marketing ผลิตคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จัดวางแต่ละคอนเทนต์ในช่วงเวลาและเลือกใช้วิธีที่เข้าถึงผู้ชมตามกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงการจัดวางคอนเทนต์อย่างเหมาะสมให้เข้าถึงง่ายในแต่ละช่องทาง ดำเนินตามกลยุทธ์เก้าอี้ 4 ขาที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากปีก่อน ซึ่งทำให้ช่อง 8 แตกต่างจากช่องทีวีดิจิทัลอื่น เพราะเป็นช่องเดียวที่มีรายได้ทั้งจากการโฆษณา รายได้จาก RS Mall หรือธุรกิจคอมเมิร์ซของบริษัท รายได้จากการจัดอีเว้นท์ และรายได้จากการขายคอนเทนต์ สู่การทำรีเมคออริจินัล      คอนเทนต์ ทั้งการรับชมผ่านทาง Official account ของช่อง 8 เอง และผ่านพันธมิตรอื่นๆ ด้วย จากกลยุทธ์หลักที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่ถูกต้อง คาดว่าจะสร้างยอดการเข้าถึงผู้ชมในแต่ละช่องทางรวมกันมากกว่า 50 ล้านคน ณ สิ้นปี 2564 

COOLISM

มุ่งเน้นกลยุทธ์แม่น้ำ 3 สาย นำโดย COOLfahrenheit สถานีเพลงไทยสากลอันดับหนึ่งที่ผู้ฟังเหนียวแน่นทั้งบนออนแอร์และออนไลน์รวมกันกว่า 3.7 ล้านคน เจาะกลุ่มพรีเมียมแมสที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจนผ่านไลฟ์สไตล์การกิน เที่ยว ช้อปปิ้งออนไลน์ และชมอีเว้นท์ต่างๆ ขยายฐานสู่ Young Generation ผ่านการพาร์ทเนอร์กับออนไลน์แพลตฟอร์มอื่นๆ และธุรกิจ COOLive ที่ร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจเพลง จัดคอนเสิร์ตและกิจกรรมตลอดทั้งปี เพื่อเชื่อมโยงลูกค้าทุกแพลตฟอร์ม รักษาเรตติ้งอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ยังต่อยอดโมเดล Entertainmerce ด้วยการพัฒนาเมนูช้อปปิ้ง COOLanything ทั้งบนแอปพลิเคชัน และเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนฟังให้ช้อปปิ้งและฟังเพลงไปพร้อมกับการคัดสรรสินค้าและโปรโมชั่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ฟัง COOLfahrenheit

RS Music

ยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารลิขสิทธิ์คลังเพลงที่แข็งแรงและการกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งจนเกิดกระแส “โตมากับอาร์เอส” เน้นการเพิ่มมูลค่าจากโซเชียลมีเดียของแต่ละศิลปิน ทั้งศิลปินใหม่ 9 คนจาก 3 ค่ายเพลง รวมถึงศิลปินเดิมที่มีฐานผู้ฟังเหนียวแน่น พัฒนาขึ้นเป็น influencer จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง และต่อยอดสู่การเป็น business partner ตามโมเดล Music Star Commerce รวมไปถึงการจัดคอนเสิร์ตและอีเว้นท์ต่างๆ

การเข้าซื้อหุ้น บริษัท เชฎฐ์ เอเชีย จำกัด

การทำ Mergers and Acquisitions (M&A) กับบริษัท เชฎฐ์ เอเชีย ซึ่งเป็นการรุกเข้าสู่ธุรกิจ “บริหารสินทรัพย์-สินเชื่อรายย่อย” สร้างการเติบโตในแนวราบ จากภาวะแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน จำนวนหนี้ด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บริษัทฯ จึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดโมเดลธุรกิจ Entertainmerce โดยใช้โอกาสนี้ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจของอาร์เอส และร่วมมือกันเสริมศักยภาพกลุ่มบริษัทเชฎฐ์ให้เทียบเท่าบริษัทชั้นนำในตลาดหลักทรัพย์ฯ และปูทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งการระดมทุนและจะช่วยสนับสนุนทำให้กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ภายใน 2 ปี ซึ่งกลุ่มบริษัทเชฎฐ์จะกลายเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นและแตกต่างโดยใช้กลยุทธ์ Entertainmerce ของอาร์เอส เข้าไปสนับสนุน และเชื่อว่า อาร์เอส กรุ๊ป และ กลุ่มบริษัทเชฎฐ์ จะเติบโตไปด้วยกันอย่างแข็งแกร่ง

“นอกจากนี้ เรายังคงมองหาพารท์เนอร์ทางธุรกิจเพื่อเข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 1 – 2 ดีลภายในปีนี้ เพื่อต่อยอดจากโมเดลธุรกิจ Entertainmerce และทำให้ Ecosystem ของอาร์เอส กรุ๊ป ขยายตัวอย่างไม่สิ้นสุด จากกลยุทธ์ทั้งหมดในปี 2564 พร้อมกับการรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ จึงเชื่อมั่นว่า อาร์เอส กรุ๊ป จะมีรายได้รวม ทะลุ 5,700 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน” นายสุรชัย กล่าวปิดท้าย

CHOW ผนึก “เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง” บุกตลาด Solar Rooftop ลูกค้ารายใหญ่

CHOW เดินหน้าบุกตลาด Solar Rooftop ในประเทศต่อเนื่อง หลังพบศักยภาพการเติบโตสูง รัฐให้การสนับสนุนตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ล่าสุดจับมือพันธมิตรรายใหม่ “เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ร่วมทุนเปิดบริษัทลูกบุกตลาดกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ เต็มกำลัง มั่นใจเห็นการเติบโตชัดเจนเร็ว ๆ นี้

   
           นายอนาวิล จิรธรรมศิริ  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชาว์ สตีล อินดัสทรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ CHOW ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กแท่งยาว (Steel Billet) รายใหญ่ของประเทศ และธุรกิจพลังงานทดแทนประเภทพลังงานแสงอาทิตย์  เปิดเผย ว่าบริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานทดแทนในประเทศอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) หลังจากภาครัฐให้การสนับสนุนแผนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างมีนัยสำคัญ ตามแผนพัฒนาพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่ม 6,000 MW ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2579  โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัท เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดจำหน่ายอุปกรณ์ด้านการสื่อสาร อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องกำเนิดไฟฟ้าทุกชนิด จัดตั้งบริษัท เชาว์ แอนด์ ซีเคอี รีนิวเอเบิ้ล จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาร่วมกัน โดยเฉพาะในลูกค้ากลุ่มขนาดใหญ่ รวมถึงโรงงานผู้ผลิตต่าง ๆ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของบริษัท เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด

            “บริษัทฯ  เล็งเห็นโอกาสการเติบโตสูงในตลาด Solar Rooftop จึงได้จับมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญและกว้างขวางในแต่ละตลาด เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าและโครงการใหม่ๆ  ซึ่ง ”เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง” ถือเป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการตลาด  และมีฐานลูกค้าที่กว้างขวาง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่  สามารถเป็นช่องทางในการขยายฐานลูกค้าได้อย่างดี”
            นายอนาวิล กล่าวต่อว่า บริษัท เชาว์ แอนด์ ซีเคอี รีนิวเอเบิ้ล จำกัด เป็นบริษัทรับเหมาติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคา ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเป็นอย่างดี จากบริษัท เชาว์ เอ็นเนอร์ยี่  จำกัด (มหาชน) ที่มีประสบการณ์ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มาแล้วทั้งในและต่างประเทศ มีความพร้อมทั้งบุคลากร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบโซลาร์ ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐานสากล ในขณะที่บริษัท เจริญกรุงเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด มีทีมงานการตลาดที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ มีฐานลูกค้า ที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ  ซึ่งหลังจากนี้จะเห็นการเติบโตของบริษัทอย่างชัดเจน

PRINCตั้งงบลงทุน 3 ปี 5,000 ล้านบาท ดันรายได้โตเท่าตัว ประเดิมลงทุนปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท มุ่งเปิด 3 รพ.และคลินิก 20 แห่ง

PRINC ตั้งงบลงทุนระยะ 3 ปี ระหว่างปี 2564-2566 จำนวน 5,000 ล้านบาท ดันรายได้โตเท่าตัวแตะระดับ 5,000 ล้านบาท ประเดิมปี 2564 จัดสรรเงินลงทุนราว 1,000 ล้านบาท ลุยขยายโรงพยาบาล คลินิก และศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง เหตุเป็นตลาดสำคัญขนาดใหญ่สุดของประเทศและมีโอกาสเติบโตสูง พร้อมวางตัวเป็น Healthcare Enabler อ้าแขนรับพันธมิตรร่วมให้บริการทางการแพทย์แบบมีประสิทธภาพในราคาที่คนทั่วไปเข้าถึงได้         

             นายสาธิต วิทยากร ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด(มหาชน) หรือ PRINC เปิดเผยว่า บริษัทกำหนดงบลงทุนในช่วง 3 ปี หรือระหว่างปี 2564-2666 จำนวน 5,000 ล้านบาท โดยหลักมุ่งเน้นการขยายจำนวนโรงพยาบาลให้เป็นไปตามเป้าหมาย ครบ 20 แห่งภายในปีน 2566 จำนวนคลินิกจำนวน 100 แห่ง และศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ 5 แห่ง บริษัทคาดหวังว่าผลของการขยายดังกล่าวจะผลักดันให้รายได้เติบโตเท่าตัว หรือแตะระดับ 5,000 ล้านบาท ได้ภายในปี 2566

สำหรับปี 2564 นี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายโรงพยาบาลจำนวน 3 แห่งประมาณ 900 ล้านบาท การลงทุนเพื่อเปิดศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้สูงอายุ 1 แห่ง 70 ล้านบาท และเปิดคลินิก 10 แห่ง อีก 30 ล้านบาท พร้อมกับตั้งเป้าหมายรายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 50% หรือมีรายได้ราว 3,600 ล้านบาท

“บริษัทเริ่มให้ความสำคัญกับการขยายคลินิกเพราะเห็นว่าจะเป็นปัจจัยหลักให้เข้าถึงชุมชุม หรือกลุ่มลูกค้าระดับกลางซึ่งเป็นกลุ่มตลาดสำคัญและขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ มีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก และบริษัทวางตัวเองเป็น Healthcare Enabler ร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจที่สนใจจะทำ Healthcare เช่น อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม นิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ ให้บริการทางการแพทย์ในระดับราคาที่เข้าถึงได้ บนระดับบริการที่มีประสิทธิภาพ”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันผลประกอบการของบริษัทยังแสดงผลขาดทุน เนื่องจากโดยปกติธุรกิจโรงพยาบาลจะใช้ระยะเวลา 5 ปีในการคืนทุน ซึ่งบริษัทได้เริ่มลงทุนธุรกิจโรงพยาบาลมาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว ดังนั้นบริษัทคาดหวังว่าผลประกอบการน่าจะเริ่มเห็นเป็นบวกได้ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกันในปี 2564 นี้ ทางบริษัทมุ่งเน้นการขยายธุรกิจควบคุมดูแลสังคมและชุมชนโดยรอบด้วยการแบ่งปันคุณค่าร่วมกัน (Create Shared Value) ทั้งการส่งเสริมเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์กลับคืนถิ่นพัฒนาบ้านเกิดตามเครือรพ.พริ้นซ์ฯ ทีขยายไปสู่ต่างจังหวัด, เปิดบริการใหม่ Dr.PRINC TeleHealth ให้บริการคำปรึกษาแพทย์ผ่านทางไกลโดยที่ไม่มีค่าใช้จ่าย ลดความเสี่ยงในการเดินทางมาที่โรงพยาบาลในช่วงการระบาดของสถานการณ์ โควิด-19 ระลอกใหม่ รวมทั้งการเข้าร่วมโครงการ Care the whale ขยะล่องหนกับทางตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นการพัฒนาคนในองค์กรให้เป็นผู้ให้ ตามปณิธานของการก่อตั้งองค์กรเพื่อร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป-.

UAC กางแผนปี 64 ปั้นรายได้ทั้งปีโต 10% เร่งเดินเกมรุกด้าน Energy Efficiency – High Value Product

บมจ.ยูเอซี โกลบอล (UAC) กางแผนธุรกิจปี64 ชูกลยุทธ์การลงทุนด้าน Energy Efficiency ทั้งในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV พร้อมพัฒนาธุรกิจไบโอดีเซล สู่ไบโอเคมิคัล สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Product) หนุนรายได้รวมทั้งปีโต10% จากปีก่อนและตั้งเป้า EBITDA ไม่ต่ำกว่า18% ของยอดขาย   

นายชัชพล ประสพโชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูเอซี   โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า จะมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 10% เมื่อเทียบจากปีก่อน พร้อมทั้งตั้งเป้า EBITDA ไม่ต่ำกว่า 18% ของยอดขาย ทั้งนี้เป็นผลจากการบริโภคมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ UAC สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานปิโตรเคมี พลังงาน และเคมีภัณฑ์ ดังนั้นเมื่อการบริโภคฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อธุรกิจเทรดดิ้ง และ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ของบริษัทฯ    

ส่วนแผนการลงทุนของบริษัทฯ ในปีนี้ ยังคงมุ่งเน้นนโยบายการลงทุนด้าน Energy Efficiency       ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV โดยจะพิจารณาต่อยอดธุรกิจเพื่อเลือกลงทุนในโครงการที่สร้างผลตอบแทน (ROE) ในระดับไม่ต่ำกว่า 20% ขึ้นไป จากปัจจุบันที่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ระดับ 15 -16% ส่วนความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าชุมชนนั้น บริษัทฯมีความพร้อมทุกด้านหากรัฐบาลอนุมัติเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัทมีความพร้อมจากกำลังผลิตที่มี 3 เมกะวัตต์ (MW) ที่สามารถเข้าเงื่อนไข “Quick Win” เดินเครื่องการผลิตไฟฟ้าได้ทันที โดยบริษัทฯตั้งเป้าประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนแห่งใหม่ ประมาณ 6-9 MW ภายใต้งบลงทุนราว 300-600 ล้านบาท  เพิ่มเติมจากโครงการในจังหวัดขอนแก่นที่มีอยู่แล้วราว 3 เมกะวัตต์

“ หากภาครัฐมีความชัดเจนเรื่องโรงไฟฟ้าชุมชน บริษัทฯ มีความพร้อมสามารถดำเนินการได้ทันที เนื่องจากบริษัทฯมีข้อได้เปรียบจากกรณีที่มีโรงไฟฟ้าต้นแบบอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อีกทั้งยังมีโรงไฟฟ้าชุมชนที่ จ.ขอนแก่น กำลังการผลิตประมาณ 3 เมกะวัตต์ ที่เดินหน้าได้ทันที ซึ่งบริษัทฯมีความพร้อมด้านศักยภาพ เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำงาน และประสบการณ์จากการประกอบการในธุรกิจพลังงานจากก๊าซชีวภาพมานานนับ 10 ปี” 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากภาครัฐบาลสนับสนุนให้เกิดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน จะส่งผลดีและเกิดประโยชน์โดยตรงต่อเกษตรกรในชุมชน เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าจะรับซื้อวัตถุดิบพืชพลังงานจากเกษตรกร ส่งผลให้กลุ่มเกษตรกรในชุมชนสามารถมีรายได้มั่นคงและยั่งยืนขึ้น รวมถึงยังสามารถช่วยลดมลพิษเช่น PM2.5 เปลี่ยนจากการเผาต้นข้าวโพดทิ้ง เป็นการนำมาจำหน่ายเป็นเชื้อเพลิงให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าได้

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนในการนำศักยภาพความแข็งแกร่งด้าน Know-how มาต่อยอดธุรกิจใน           รูปแบบการเป็นที่ปรึกษา โดยบริษัทฯ จะนำนวัตกรรมความเชี่ยวชาญประสบการณ์ ขยายโอกาสเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจ ภายใต้ความร่วมกับพันธมิตร โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้มีการเซ็นสัญญาความร่วมมือกับ บมจ.ซันสวีท เพื่อเข้าเป็นที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างระบบไบโอแก๊สจากวัตถุดิบเหลือทิ้งจากขบวนการผลิตของโรงงาน (ซังข้าวโพด) ในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา และเชื่อว่าในเร็วๆ นี้จะเห็นความร่วมมือในรูปแบบดังกล่าวเข้ามาเพิ่มมากขึ้น

 ส่วนแผนความคืบหน้าโครงการจัดการขยะเพื่อผลิตพลังงานทดแทนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์      ที่นำกลับมาใช้ใหม่ ที่นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาชาธิปไตยประชาชนลาว นั้น ปัจจุบันมีการลงทุนเฟสแรกในโครงการธุรกิจบริหารจัดการขยะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 นี้ และหลังจากนั้นดำเนินการก่อสร้างเฟสที่ 2 เป็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ ขนาด 6 เมกะวัตต์  

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในธุรกิจไบโอดีเซล นั้น CEO “UAC” กล่าวว่า บริษัทฯยังคงศึกษาและต่อยอดธุรกิจไบโอเคมีคัล อย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Product) ซึ่งใช้ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีการร่วมทุนกับบริษัทย่อยของ บมจ.บางจาก                  คอร์ปอเรชั่น ในสัดส่วนการถือหุ้น 30% เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ด้วยกำลังผลิต 810,000 ลิตรต่อปี ซึ่งธุรกิจไบโอดีเซลนั้นได้ประโยชน์จากที่รัฐมีนโยบายสนับสนุนการใช้ B10 ส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง