เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ส่งมอบของขวัญส่งต่อความสุขให้เด็กๆ ชุมชนแฟลตการรถไฟพนักงานจิตอาสา – บริษัทในเครือร่วมใจในกิจกรรม MBK Spirit Children’s Day 2021

ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ นำโดย นางสาวศตกมล วรกุล (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรม MBK Spirit Children’s Day 2021 สนับสนุนของขวัญวันเด็กให้กับชุมชนแฟลตการรถไฟ เพื่อส่งมอบของขวัญส่งต่อความสุขให้กับน้อง ๆ หนู ๆ ในชุมชน โดยมีตัวแทนชุมชนเป็นผู้รับมอบ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้รับความสนใจจากพนักงานทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเอ็ม บี เค ร่วมบริจาคของขวัญ อาทิ อุปกรณ์การเรียน ของเล่นเพื่อพัฒนาการ นาฬิกาข้อมือ พร้อมด้วย ที ลีสซิ่ง ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในเครือเอ็ม บี เค ร่วมสนับสนุนรถจักรยาน เมื่อเร็ว ๆ นี้

ซีพีเอฟ เตรียมพร้อมนำ ฟาร์มวังสมบูรณ์ ขอรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่เคจฟรีของกรมปศุสัตว์

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ประกาศ ฟาร์มวังสมบูรณ์ ใน จ.สระบุรี  พร้อมขอรับรองมาตรฐานไข่ไก่แบบไม่ใช้กรง หรือ เคจฟรี จากกรมปศุสัตว์ เพิ่มศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรที่สอดคล้องตามความต้องการของตลาดโลกในอนาคต และช่วยยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภคคนไทย

นายสมคิด วรรณลุกขี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจไก่ไข่ ซีพีเอฟ กล่าวว่า การที่กรมปศุสัตว์มีการรับรองมาตรฐานไข่ไก่แบบไม่ใช้กรง (Cage Free) อย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญของภาคการผลิตไข่ไก่ของไทย ส่งผลดีต่อผู้บริโภค และเกษตรกร ช่วยยกระดับมาตรฐานอาหารปลอดภัยของไทย และช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาระบบการเลี้ยงไก่ไข่แบบไม่ใช้กรงเพิ่มขึ้น  ทั้งนี้ ซีพีเอฟ เตรียมนำฟาร์มวังสมบูรณ์ เข้าขอรับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง ของกรมปศุสัตว์ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานสวัสดิภาพสัตว์ในการผลิตไข่ไก่สู่ระดับสากล  ร่วมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ มีความปลอดภัยสูงสุด ให้ผู้บริโภคที่มีแนวโน้มต้องการสินค้าที่คำนึงถึงสุขภาพและแหล่งที่มาของสินค้าที่ปลอดภัยและรับผิดชอบต่อสังคมเพิ่มขึ้น

“การได้รับรองมาตรฐานฟาร์มไก่ไข่แบบไม่ใช้กรง (เคจฟรี)โดยกรมปศุสัตว์ ช่วยเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพให้ผู้บริโภค จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผลิตภัณไข่ไก่เคจฟรีแบรนด์ CP Selection Cage Free Egg มากยิ่งขึ้น” นายสมคิดกล่าว

ซีพีเอฟพัฒนาฟาร์มวังสมบูรณ์ ในจังหวัดสระบุรี ฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่แบบปล่อยอิสระไม่ใช้กรงในโรงเรือนระบบปิด ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีการประยุกต์ใช้มาตรฐานของสหภาพยุโรปเป็นต้นแบบ ในการเลี้ยงแม่ไก่ไข่แบบธรรมชาติภายในโรงเรือนระบบปิดขนาดใหญ่ที่มีการควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศอย่างเหมาะสม มีวิธีการเลี้ยงตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ หรือ Animal Welfare โดยแม่ไก่ไข่มีความเป็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีสุขอนามัยที่ดี มีที่อยู่สะดวกสบาย ได้รับอาหาร-น้ำอย่างเพียงพอ และแม่ไก่มีอิสระแสดงพฤติกรรมได้ตามธรรมชาติ หรือ มี “ความสุขกาย สบายใจของสัตว์” ตามหลักการ 5 ประการ (Five Freedoms of Animals) ส่งผลให้แม่ไก่ไข่มีสุขภาพดีและมีอารมณ์ดี มีความสุขสบาย แข็งแรง ที่สำคัญไม่ใช้ยาปฏิชีวนะตลอดการเลี้ยง

 ฟาร์มวังสมบูรณ์ มี 12 โรงเรือน แม่ไก่ไข่ถูกเลี้ยงแบบธรรมชาติบนพื้นที่ 1 ตารางเมตรต่อแม่ไก่ 7-9 ตัว จัดสภาพแวดล้อมให้ถูกต้องตามหลักสวัสดิภาพสัตว์ ส่งเสริมให้แม่ไก่ไข่ได้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติอย่างเต็มที่ เช่น มีคอนสำหรับเกาะพักผ่อน มีวัสดุปูรองพื้นเพื่อใช้สำหรับคุ้ยเขี่ยหาอาหาร และไซร้ขนทำความสะอาดตัวเอง มีจุดสำหรับวางไข่ที่ควบคุมการผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ และใช้สายพานลำเลียงไข่จากจุดวางไข่ของแม่ไก่ไปยังห้องเก็บไข่โดยอัตโนมัติ ควบคู่กับการจัดการระบบสุขาภิบาลภายในฟาร์มที่ดี ควบคุมและป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด ไข่ไก่เคจฟรีของซีพีเอฟ จึงได้รับรองมาตรฐานการปลอดเชื้อซัลโมเนลล่า ตั้งแต่โรงฟักไข่ แม่ไก่พันธุ์ จนถึงแม่ไก่ไข่รุ่น เพื่อให้ได้ไข่ไก่ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ ปลอดสาร

นอกจากนี้ การเลือกใช้แม่ไก่ไข่สายพันธุ์พิเศษ รวมถึงพัฒนาสูตรอาหารผลิตจากธัญพืช 100% ช่วยให้ไก่ที่มีสุขภาพพื้นฐานดี เติบโตตามศักยภาพของพันธุกรรมธรรมชาติ ช่วยให้ไข่ไก่เคจฟรีมีความสดกว่าไข่ไก่ทั่วไป ไม่มีกลิ่นคาวไข่แดงมีสีส้มสด นูนสวย เป็นไข่ไก่มีคุณภาพ ปลอดสาร และมีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสุขภาพของผู้บริโภค จึงได้รับการตอบรับที่ดีมากจากร้านอาหารชั้นนำ อย่าง ร้านชาบูชาบู โมโม พาราไดซ์ โดยเฉพาะร้านเจ๊ไฝ สตรีทฟู้ดชื่อดังที่ใช้เป็นวัตถุดิบของเมนูไข่เจียวปู นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังสามารถหาซื้อไข่ไก่เคจฟรี ซีพีเอฟ ได้ที่ ร้านซีพี เฟรชมาร์ท 7-Eleven ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ริมปิง จ.เชียงใหม่ และห้างดองกิ ดองกิ 

ซีพีเอฟ มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์ด้วยความรับผิดชอบ (Responsible Farming and Food Production) อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหารสู่ระดับสากล เพื่อการบริโภคที่ยั่งยืน./

‘ม.กรุงเทพธนฯ’ เอาใจสังคมผู้สูงวัย เปิด ‘บีทียูมายโฮม’ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เพราะการศึกษาในปัจจุบัน ไม่เพียงเน้นแค่ทฤษฎี หากแต่การที่ให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็จะทำให้พวกเขามีประสบการณ์ที่ดี ประกอบกับการที่เมืองไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย การจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (senior complex) บีทียู มายโฮม (BTU Myhome) นอกจากจะทำให้ผู้สูงอายุเหล่านั้น มีอายุยืนยาว มีความสุข มีสุขภาพดี และมีคุณภาพชีวิตดีที่สุดแล้ว ก็จะยังเป็นแหล่งฝึกปฎิบัติภายใต้การดูแลของแพทย์พยาบาลมืออาชีพอีกด้วย

รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เล่าถึงแนวความคิดในการจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (senior complex) บีทียู มายโฮม (BTU Myhome) ว่า ในสังคมปัจจุบัน ปี 2564 เราจะมีผู้สูงอายุไม่ต่ำกว่า 12 ล้านคน (จากประชากรทั้งสิ้น 67 ล้านคน) ในขณะที่ลูกๆ ต้องทำงาน พ่อ-แม่ อยู่บ้านก็เป็นห่วง แต่ถ้าพามาอยู่ใน BTU Myhome ก็จะมีแพทย์, พยาบาล มีอาหารตามหลักโภชนาการ มีนักกายภาพบำบัด มีนักกิจกรรม ซึ่งครอบคลุมทุกๆ เรื่อง จึงได้ชวน ผศ.ดร.ภูมินทร์ รุ่งเรืองกูล รองผู้อำนวยการศูนย์ บีทียู มายโฮม ที่มีประสบการณ์ด้านนี้โดยตรง เข้ามาดูแลในส่วนนี้

โดยในส่วนของมหาวิทยาลัยเอง ก็ถือว่า ลูกศิษย์ของเราจะได้ฝึกและปฏิบัติจริง ภายใต้การดูแลของแพทย์พยาบาลมืออาชีพอีกด้วย นอกจากเขาจะได้ฝึกในส่วนของรูปแบบ ร.พ. ทั่วไป เขาก็ยังสามารถที่จะไปดูแลผู้สูงอายุได้ จึงได้ตัดสินใจเปิดเป็นศูนย์ฝึก BTU MYhome (BTU คือชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ส่วน MYhome ก็คือความอบอุ่นเหมือนบ้านนั่นเอง)

ต้องยอมรับว่า หลักสูตรการเรียนการสอนในสมัยปัจจุบัน  จะเน้นทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องให้นักศึกษาได้มีสถานที่ลงมือปฏิบัติได้จริง อย่างคณะศึกษาศาสตร์ เรามีโรงเรียนสาธิตกรุงเทพธนบุรี ไว้รองรับ, คณะศิลปศาสตร์  สาขาวิชาการโรงแรม มีศูนย์ปฏิบัติการโรงแรม, คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการกีฬา มี Sports Complex, คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มี คลินิคทันตกรรม และ คณะแพทย์ศาสตร์ มีสหคลินิคกรุงเทพธนบุรี รองรับประชากร 10,000 คน

ดังนั้น บีทียู มายโฮม ก็จะแหล่งฝึกปฎิบัติของ พยาบาลศาสตร์, สาธารณสุขศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ทันตแพทย์ และ แพทย์ศาสตร์ เพื่อทำให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เรามุ่งอยากให้ลูกศิษย์ของเราเก่งครบด้าน ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ

นโยบายของ บีทียู มายโฮม คือ จะทำอย่างไร เพื่อที่จะทำให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาว มีความสุข มีสุขภาพดีที่สุด คุณภาพชีวิตดีที่สุด และไม่เหงา เพราะจะได้มีเพื่อนใหม่ มีสังคมใหม่ๆ ซึ่งขณะนี้มีผู้จองไว้แล้วมากทีเดียว และก็ชวนเพื่อนๆ มาอยู่ด้วยกัน ถือว่าเป็นสังคมใหม่ของผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป

ดังนั้นกลุ่มเป้าหมายของ บีทียู มายโฮม ก็คือ คนวัย 50 อัพ ที่มีความพร้อม อยากหาสังคมและอยากมีกิจกรรม หรือสำหรับลูกๆ มีความพร้อมที่จะหาสิ่งดีๆ ให้กับพ่อแม่ เพื่อให้ท่านมีอายุยืน เนื่องจากผู้สูงอายุมักจะเหงา แต่อยู่ที่นี่เราจะมีกิจกรรมมากมาย เช่น เต้นรำ, ร้องเพลง, วาดภาพ, พาไปเที่ยว, พาไปไหว้พระ, พาไปตักบาตร, ว่ายน้ำ, ปลูกผักปลอดสารพิษ และอาจไปเก็บมาทาน หรือทำสลัด ฯลฯ

เรามั่นใจว่า เรามีความพร้อมมากที่สุด ทั้งในเรื่องบุคลากรที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เรามีคณะพยาบาล ทั้งอาจารย์พยาบาลและนักศึกษา มีคณะทันตแพทย์ ผู้สูงอายุมีปัญหาเรื่องฟัน เรามีหมอไปตรวจให้ มีสาธารณสุขศาสตร์ และ คณะแพทย์ศาสตร์ ที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดหลักสูตร เรามีความพร้อมทุกๆ ด้าน ขณะที่อาคารสถานที่ก็สวยงามและโปร่งสบาย ต้นไม้เยอะ อากาศถ่ายเทสะดวก ตามนโยบายหลักที่วางเอาไว้ว่า จะทำอย่างไรทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้ผู้สูงอายุที่มาอยู่กับเรา มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด และมีอายุยืนยาวที่สุด เพื่อให้ลูกหลานมั่นใจได้

ทางด้าน ผศ.ดร.ภูมินทร์ รุ่งเรืองกูล รองผู้อำนวยการศูนย์ บีทียู มายโฮม กล่าวว่า ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับธุรกิจนี้มามากกว่า 10 ปี กับพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งมีจุดเด่นคือ มีสหวิชาชีพครบทุกสาขา นักจิตวิทยา, นักกิจกรรม, นักกายภาพบำบัด มีบรรยากาศที่ดี มีการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม มีสวนสำหรับผู้ป่วย น้ำตก น้ำพุ เราสร้างความเป็นธรรมชาติขึ้นมา ด้วยบริเวณที่ใหญ่ มีพื้นที่กว้างกว่า 50 ไร่ ในขณะที่อื่นๆ อาจมีพื้นที่จำกัด สระว่ายน้ำไม่มี สวนเดินเล่นก็ไม่มี ซึ่งโดยปกติแล้วผู้สูงอายุ ธรรมชาติคือสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อจิตใจ เพราะฉะนั้นธรรมชาติพวกนี้จะสามารถช่วยบำบัดได้ โดยเราจะเริ่มเปิดบริการอย่างเป็นการ ในวันที่ 1 ก.พ. นี้ แบบครบวงจร ทั้งในส่วนของ ธาราบำบัด, กายภาพบำบัด, กิจกรรมบำบัด, แพทย์แผนไทย และในส่วนของการพยาบาล ฯลฯ

สุดท้ายอยากจะฝากถึงทุกท่านว่า บีทียู มายโฮม มีความตั้งใจทำจากใจจริงๆ เรามีความสุขในการทำงานเต็มที่ จุดมุ่งหมายก็คือ ต้องเป็นศูนย์ที่ดูแลผู้สูงอายุได้ดีที่สุด

            ผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ BTU Myhome (มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี) สามารถสอบถาม ได้ที่ www.btumyhome.com หรือ 098-632-9491, 095-361-5641, 094-261-1162, 098-510-7034

ช่อง 3 ชวนแฟนละคร “เทพธิดาปลาร้า” & แฟนรายการ “แซ่บพาซ่าส์”

ใครชอบปลาร้าฟังทางนี้! ช่อง 3 เปิดช่องทางสร้างรายได้พารวยในช่วงสถานการณ์ Covid-19 ผ่านกิจกรรม “เทพธิดาปลาร้า…พาแซ่บ” กิจกรรมละคร “เทพธิดาปลาร้า” ร่วมกับรายการ “แซ่บพาซ่าส์” ที่ได้เปิดโอกาสให้แฟนๆ ร่วมประชันและนำเสนอเมนูสูตรอาหารประยุกต์สุดครีเอทที่มี “ปลาร้า” เป็นส่วนประกอบสำคัญในรังสรรค์ เพื่อชิงเงินรางวัลรวมกว่าแสนบาท! ผ่านรายการแซ่บพาซ่าส์ เมนูใดที่ถูกเลือกจะได้ถูกนำเสนอเมนูแซ่บผ่านรายการเพื่อให้ทุกคนทางบ้านได้แซ่บไปด้วยกัน

​กติการ่วมประชันเมนูแซ่บ

1. นำเสนอเมนูแซ่บที่มี “ปลาร้า” เป็นส่วนประกอบสำคัญ สุดแซ่บ สุดสร้างสรรค์ และสามารถทำได้จริง

2. ตั้งชื่อเมนู บอกส่วนผสม และถ่ายภาพตนเองคู่กับเมนู

3. ระบุชื่อ-นามสกุล พร้อมเบอร์โทรศัพท์

4. ส่งมาที่รายการแซ่บพาซ่าส์ทาง Inbox Facebook : Zaabplaza (เฉพาะช่องทางนี้เท่านั้น)

ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบทางท้ายเพจละครเทพธิดาปลาร้า วันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2564 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.Ch3Thailand.com, Facebook : Ch3Thailand, Facebook : ZaabPlaza สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line : @zaabplaza

เปิดโครงการ “สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย มอบแสงสว่าง ส่งพลังใจ เพื่อคนตาบอดสู้ภัยโควิด 19”

จากสถานการณ์โรคไวรัสโควิด 19 ระลอกใหม่ที่มีการแพร่ระบาดในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่สำหรับกลุ่มผู้พิการทางการเห็น หรือ“คนตาบอด”นั้น ดูเหมือนจะยิ่งทวีคูณความรุ่นแรงขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ว่าจะเป็น วิถีชีวิตใหม่ ที่สร้างความยากลำบากให้คนตาบอด ต้องเว้นระยะห่าง ไม่มีคนช่วยนำทาง ลดการใช้มือสัมผัส ตลอดจนอาชีพ การทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกมาตการควบคุม ทำให้ไม่มีรายได้ ตกงาน ถูกเลิกจ้าง แม้ส่วนหนึ่งจะได้ภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาบรรเทาความเดือดร้อนบ้างในระยะแรก แต่ยังไม่เพียงพอ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือแบบเร่งด่วน เพื่อปากท้องของตัวเอง รวมถึงจุนเจือค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ด้วยเหตุนี้ สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย จึงริเริ่มโครงการ “สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย มอบแสงสว่าง ส่งพลังใจ ช่วยเหลือคนตาบอดสู้ภัยโควิด 19” ขึ้น โดยได้รับเกียรติจาก นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นประธานเปิดงาน ณ ชั้น 1 อาคาร APCD บ้านราชวิถี กรุงเทพมหานคร ภายใต้มาตรการการควบคุมและป้องกันโรคระบาดโควิด 19 อย่างเคร่งครัด

โดย นายพัฒน์ธนชัย สระกวี  นายกสมาคมประชาคมคนตาบอดไทย กล่าวว่า สมาคมฯ มีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดในทุกมิติแบบบูรณาการ อีกทั้งยังช่วยเหลือเยียวยาคนตาบอดทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อโควิด 19 มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ทางสมาคมฯ ได้ออกเดินทางไปมอบเงินบริจาค ถุงยังชีพ ให้แก่พี่น้องคนตาบอดที่ได้ผลกระทบ เกือบทุกจังหวัด  ได้สัมผัสและรับรู้ด้วยตัวเองว่า ยังมีครอบครัวคนตาบอดอีกหลายพันชีวิตที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก บางคนไม่มีเงินแม้กระทั่งจะซื้อข้าวรับประทานในแต่ละวัน ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ มีความเดือนร้อนอยู่อีกเป็นจำนวนมาก โดยโครงการนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเชิญชวนให้ทุกท่าน ร่วมกันแบ่งปันกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้กับคนตาบอดบ้าง ให้พวกเขาได้รู้สึกไม่โดดเดียว ไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง มีความห่วงใยส่งถึงกัน เป็นอีกหนึ่งศูนย์รวมน้ำใจคนไทย ส่งต่อความปรารถนาดี และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง พร้อมก้าวผ่านพ้นวิกฤตโควิด 19 นี้ไปด้วยกัน ซึ่งต้องขอความอนุเคราะห์จากผู้ใจบุญ ร่วมบริจาคเครื่องอุปโภค บริโภค จำเป็นในการดำรงชีวิตอาทิ ข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม ยาสามัญประจำบ้าน หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ผงซักฟอก สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แป้ง ฯลฯ เพื่อจัดทำเป็นถุงยังชีพมอบให้แก่คนตาบอดทั่วประเทศ รวมถึงยังร่วมบริจาคเงินตามกำลัง เพื่อมอบให้คนตาบอด ตลอดจนจัดซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร โดยเฉพาะคนตาบอดสูงอายุ ผู้ขาดแคลน และไม่มีครอบครัวดูแล เป็นต้น

                บรรยากาศภายในงานร่วมพูดคุยกับผู้พิการทางการเห็น ได้แก่ มาตยา ล่องกาศ อาชีพ นวดแผนไทย ซึ่งบอกว่า  “หลังจากได้รับการผ่อนปลนให้เปิดบริการ ก็มีรายได้เข้ามาบ้าง แต่น้อยมาก บางวันแทบไม่มีลูกค้าเลย ยอมรับว่าลำบากมากพอสมควร อยากหาอาชีพเสริม แต่ด้วยข้อจำกัด จึงไม่สามารถทำได้เหมือนคนปกติค่ะ  ทางด้าน มนตรี บรรยาคำ อาชีพ ผู้แสดงความสามารถพิเศษในที่สาธารณะเล่าว่า “ตอนนี้อยู่บ้าน ไม่มีงานเลย ไปไหนมาไหนก็ต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ต้องปรับตัวในวิถีชีวิตใหม่ ลดการสัมผัส เว้นละยะห่าง ซึ่งคนตาบอดทำได้ยาก เราต้องอาศัยคนอื่นนำทาง และใช้มือแทนตาครับ” 

นอกจากนี้ยังมีเหล่าคนดังใจบุญตบเท้าเข้าร่วมงานเปิดโครงการ พร้อมมอบเงินบริจาค ถุงยังชีพ และหน้ากากอนามัย อาทิ พญ.พลอยลดา ธนาไพศาลวรกุล, นุชนาถ ระวีแสงสูรย์, ศศิวิมล ดารารัตนโรจน์ และ ปิยะมาลา ดำริกาญจน์  

สำหรับผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคสิ่งของต่างๆได้ด้วยตนเอง หรือจัดส่งทางไปรษณีย์ ให้ สำนักงาน สมาคมประชาคมคนตาบอดไทย เลขที่ 63/374 บางใหญ่ซิตี้ ซอย 10/11 หมู่ 6 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี 11140 รวมถึงร่วมบริจาคด้วยการโอนเงินผ่าน บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นจูรี่ ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนตาบอดในประเทศไทย หมายเลขบัญชี 481 – 0 – 14002 – 4 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 089 994 6656 หรือ สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อรับข้อมูลข่าวสารของสมาคมฯ ผ่านไลน์ แอพพลิเคชั่น

การบินไทยรับคนไทยจากออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น กลับสู่ประเทศไทย

นาวาอากาศตรี อนิรุต แสงฤทธิ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ ในฐานะหัวหน้าศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการ (THAI Operations Control Center : TOCC) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ให้ความร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา สถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองฮ่องกง สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว จัดเที่ยวบินพิเศษรับคนไทย จำนวน 4 เที่ยวบินจากออสเตรเลีย ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 17-23 มกราคม 2564 มีรายละเอียดดังนี้

1. เที่ยวบินที่ ทีจี 476 เส้นทางซิดนีย์-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากออสเตรเลีย จำนวน 106 คน  กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 21 ออกเดินทางจากซิดนีย์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2564 เวลา 10.07 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 15.02 น. ในวันเดียวกัน

2. เที่ยวบินที่ ทีจี 639 เส้นทางฮ่องกง-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากฮ่องกง จำนวน 51 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 13 ออกเดินทางจากฮ่องกง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2564 เวลา 18.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 20.22 น. ในวันเดียวกัน

3. เที่ยวบินที่ ทีจี 657 เส้นทางโซล-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากเกาหลี จำนวน 288 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 9 ออกเดินทางจากเกาหลี เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 11.10 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 14.47 น. ในวันเดียวกัน

4. เที่ยวบินที่ ทีจี 643 เส้นทางโตเกียว(นาริตะ)-กรุงเทพฯ รับผู้โดยสารชาวไทยจากญี่ปุ่น จำนวน 174 คน กลับประเทศไทย เป็นครั้งที่ 7 ออกเดินทางจากโตเกียว(นาริตะ) เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2564 เวลา 11.40 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 16.14 น. ในวันเดียวกัน

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำการขนส่งสินค้าในเที่ยวบินทั้งขาไปและขากลับอีกด้วย

บริษัทฯ ภาคภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติภารกิจเพื่อรับคนไทยในต่างประเทศกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง ด้วยความใส่ใจทั้งด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย โดยมีพนักงานการบินไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ร่วมปฏิบัติหน้าที่ประสานงาน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร

DITP เปิดต้นกล้า ทู โกล’64 เสริมศักยภาพ SMEs ไทย พร้อมคว้าโอกาสทุกสถานการณ์

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กระทรวงพาณิชย์ เปิดโครงการสร้าง SMEs ไทยสู่เวทีการค้าสากล ประจำปี 2564 จัดหลักสูตรเข้มข้นอบรมแบบไฮบริด Online และ On-site พัฒนาศักยภาพ SMEs ท้องถิ่นให้เติบโตในทุกสถานการณ์

โครงการต้นกล้า ทู โกล ดำเนินการตามนโยบาย ฯพณฯ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายทุกรูปแบบ  ผู้ร่วมอบรมจะได้ค้นหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจกับบรรดาตัวจริงของวงการธุรกิจระหว่างประเทศ การตลาดยุคใหม่ และนักธุรกิจที่จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงแบบคนวงใน

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวกับผู้ร่วมอบรมต้นกล้า ทู โกล ประจำปี 2564 ระยะที่ 1 ว่า ที่ผ่านมาผู้ผ่านการอบรมโครงการต้นกล้า ทู โกล ต่างได้นำความรู้จากการอบรมไปพัฒนาต่อยอดธุรกิจ มีโอกาสได้พบคู่ค้าที่มีศักยภาพมากมาย แม้แต่ในช่วงโควิด-19 ระบาด ผู้ประกอบการต้นกล้า ทู โกล สามารถ “ตั้งรับ ปรับตัว หาโอกาส” พัฒนาสินค้าให้ถูกใจผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น พร้อมขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้กับผลิตภัณฑ์

ด้านนางอารดา เฟื่องทอง ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กล่าวว่า โครงการต้นกล้า ทู โกล จัดติดต่อมาเป็นปีที่ 10 แล้ว แสดงให้เห็นว่าเป็นโครงการที่ดีจริงๆ โดยความสำเร็จในการจัดโครงการฯ เมื่อปีที่แล้ว มีการเจรจาธุรกิจ 132 คู่ คาดการณ์คำสั่งซื้อสินค้าภายใน 1 ปีประมาณ 100 ล้านบาท มีผู้ประกอบการหลายรายได้ช่องทางจำหน่ายใหม่ เช่น บริษัท บ้านกล้วย (2017) จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์กล้วยแปรรูปแบรนด์ Nawati ได้วางจำหน่ายสินค้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ตของเดอะมอลล์ กรุ๊ป, ลอว์สัน 108, ท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต, บิ๊กซี และคิง เพาเวอร์ บริษัท ไฟน์อิมเมจ จำกัด เจ้าของแบรนด์ไส้กรอก Nature D’Lite ซึ่งชนะเลิศรางวัลการเขียนแผนธุรกิจเชิงสร้างสรรค์และการออกแบบบรรจุภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ ปี 2563 ได้จำหน่ายสินค้าในบูธทดลองของกูร์เมต์มาร์เก็ตของเดอะมอลล์ กรุ๊ป และห้างหุ้นส่วนจำกัด ไบโอพอยต์ มาร์เก็ตติ้ง วางจำหน่ายสินค้ายาสีฟันแบรนด์ดีดี เฮิร์บ ที่สาขาของบิ๊กซี

“ปีนี้ มีผู้สนใจร่วมโครงการจำนวนมาก โดยในรอบแรกมีผู้สมัครทั้งนิติบุคคลและบุคคลทั่วไปจากทั่วประเทศรวม 641 ราย ซึ่งคณะกรรมการจะคัดเลือกนิติบุคคลที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เพื่อเข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2-4 จำนวน 75 ราย ผู้ผ่านการอบรมครบทุกระยะจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น สินค้าที่มีศักยภาพมีสิทธิ์ได้รับคัดเลือกจำหน่ายในบูธ AWC ราคาพิเศษ ณ ศูนย์ค้าส่ง เออีซีเทรดเซ็นเตอร์ พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ และรับคัดเลือกให้จำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในประเทศจีน รวมถึงร่วมโครงการ SMEs Pro-active และกิจกรรมงานแสดงสินค้าของ DITP ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นต้น”

โครงการต้นกล้า ทู โกล แบ่งเป็น 4 ระยะดังนี้

• ระยะที่ 1 อบรมออนไลน์ผ่านระบบ zoom วันที่ 26 มกราคม 2564 เจาะลึกการทำธุรกิจระหว่างประเทศ

รับแรงบันดาลใจจากตัวจริงของวงการค้าต่างประเทศและการบริหารเงินแบบปังๆ

• ระยะที่ 2 อบรมเชิงปฎิบัติการออนไลน์ผ่านระบบ Zoom เพื่อสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์และจัดทำแผนธุรกิจ

เพื่อยืนหนึ่งในทุกตลาด คัดเลือกนิติบุคคลเข้าร่วมกิจกรรมรวม 75 ราย จัดอบรมแบ่งตามภูมิภาค ได้แก่

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 17-19 กุมภาพันธ์ 2564, ภาคใต้ วันที่ 24-26 มีนาคม 2564 และภาคตะวันออก วันที่ 28-30 เมษายน 2564

• ระยะที่ 3 อบรมเชิงปฎิบัติการเพื่อพัฒนาบรรจุภัณฑ์ต่อยอดสินค้านวัตกรรมในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อมัดใจ

ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย มีนิติบุคคลเข้าร่วมกิจกรรม 75 ราย จัดอบรมในสถานที่จริงตามภูมิภาค ดังนี้                 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อุดรธานี) วันที่ 5-7 พฤษภาคม 2564, ภาคใต้ (สงขลา) วันที่ 23-25 มิถุนายน 2564 และภาคตะวันออก (ชลบุรี) วันที่ 7-9 กรกฎาคม 2564

• ระยะที่ 4 พิธีปิดโครงการ ประกอบด้วยกิจกรรมเสวนา การจัดแสดงสินค้า และกิจกรรมเจรจาธุรกิจกับผู้

ซื้อรายใหญ่ เช่น เดอะมอลล์ กรุ๊ป, เครือเซ็นทรัล, คิง เพาเวอร์, ลอว์สันฯ และผู้แทนการค้าจากจีน, เมียนมา, และสปป.ลาว ในวันที่ 17 สิงหาคม 2564 ที่กรุงเทพฯ

​ผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมอื่นๆ ของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ได้ที่เว็บไซต์ของสถาบันฯ เพจเฟซบุ๊กสถาบันฯ และ DITP Service Center โทร. 1169

หรือ เว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ www.ditp.go.th

Praram 9 Hospital policies and procedures for patients during COVID-19 pandemic.

Praram 9 hospital has developed a policy and procedure plan for specialist and staff members when caring for patients during COVID-19. Our aim is to build confidence in our patients about our excellent service and our COVID-19 safety policy. We currently have multiple care service options for our patients to pick from that does not involve them visiting our hospital. These include: PR9 Telemedicine services, Home-care services, and our Drive-in services.

Dr. Somchai Leelasiriwong, M.D and advisor to risk managers at Praram 9 Hospital would like to assure our patients that we take their safety very seriously, especially those who have to visit the hospital often due to their conditions.

“People with complicated diseases like heart disease, kidney disease, diabetes or cancer, which they require ongoing care, these patients tend to have a weaker immune system than the general population. The COVID-19 outbreak has caused concern for these group of people, therefore the complex medical center at Praram 9 Hospital has developed an intensive safety and care measure to build confidence for all patients and patient’s family members”

During arrival to the hospital, both patients and staff will go through a screening process: body temperature, travel history, flu symptoms, and general wellbeing will be asked. Patients with high risk will be separated from normal patients in terms of both area and staff members in charge of their service. Not only that, but Praram 9 Hospital practices safe social distancing and organizes both patient and staff’s schedule to reduce traffic and congestion.

Dr. Somchain, M.D has also mentioned how Praram 9 Hospital will reach and answer our patient’s needs with the help of our new advance services so they would not need to leave the comfort of their homes.

“Praram 9 Hospital has created access to additional treatment options. Praram 9 hospital now has “PR9 telemedicine” service where patients can have a consultation session with their doctor through a VDO call right from their home. Patients can have their symptoms assessed and medication prescribed by our doctors. Other additional treatment options include our Drive-in Service at Building B where you can get a blood test or vaccination service. Our newest development is our Home Care service where our nurses can travel to your home to provide you with vaccination and care.” 

หน้ากากอนามัย “เวลแคร์” รับเครื่องหมาย มอก. เป็นแบรนด์แรกในประเทศไทย

นายสุชัย ณรงคนานุกูล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เท็กซ์ไทล์เพรสทีจ จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตหน้ากากอนามัยแบรนด์ “เวลแคร์” (Welcare) รับใบอนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) จาก นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งพิธีมอบจัดขึ้นที่ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม โดยเวลแคร์นับเป็นหน้ากากอนามัยแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวในประเทศไทยในขณะนี้ ที่ได้รับเครื่องหมาย มอก.

            โดยนายสุชัย ณรงคนานุกูล ได้เน้นย้ำถึงจุดยืนของแบรนด์ ว่าในยุคที่ผู้บริโภคมีความรู้ และฉลาดเลือกมากขึ้น ที่ผ่านมาเวลแคร์ทำตลาดโดยเน้นความจริงใจและประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นอันดับแรก และจะยังคงถือจุดยืนนี้ต่อไป หน้ากากเวลแคร์ทุกชิ้นจะต้องผลิตโดยใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม โดยกำหนดราคาตามมาตรฐาน แม้ในช่วงเวลาที่วัตถุดิบราคาขึ้น เวลแคร์ก็ยืนยันที่ขายในราคาเดิม โดยไม่หวังที่จะกอบโกยกำไรในระยะสั้น และปฏิเสธการใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านราคา โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ

            เวลแคร์มีความตั้งใจที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ของสินค้าเพื่อสุขภาพให้คนไทยได้ใช้สินค้าพรีเมี่ยม ในราคาที่จับต้องได้ และจะคิดค้นและพัฒนาสินค้าอย่างมีคุณภาพ มีมาตรฐาน และปลอดภัยต่อผู้บริโภคต่อไป เพื่อเป็นแบรนด์นวัตกรรมสุขภาพอันดับ 1 ในอนาคต

            สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์หน้ากากอนามัยเวลแคร์สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Lazada : https://bit.ly/396SHBl หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
FB : welcarethailand https://www.facebook.com/welcare.thailand

“ท็อปส์” จับมือ กรมการค้าภายใน รุกช่วยเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมภาคเหนือ เพิ่มปริมาณรับซื้อกระเทียมไทย 30 %

ท่ามกลางภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน รวมไปถึงเกษตรกรที่ประสบปัญหาไม่สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ตามปกติ และไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านราคา “ท็อปส์” จึงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุกช่วยเหลือเกษตรกรไทยทั่วทั้งประเทศ ร่วมกับ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เร่งแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมในพื้นที่ภาคเหนือที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมด้านราคาผลผลิต  “ท็อปส์” ซูเปอร์มาร์เก็ตรายเดียวที่ยืนหยัดจำหน่ายเฉพาะกระเทียมที่ผลิตในประเทศไทย 100 %  เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับผลผลิตกระเทียมไทยที่จะออกสู่ตลาดปริมาณมากช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564  ตั้งเป้าเพิ่มปริมาณรับซื้อกระเทียมไทยเพิ่มขึ้น 30 % จากปีก่อน จากเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียมในพื้นที่ภาคเหนือ ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้มีตลาดรองรับที่แน่นอน และช่วยยกระดับราคาจำหน่ายผลผลิตให้เกษตรกรในพื้นที่  รวมไปถึงให้ความสำคัญในเรื่องของคุณภาพ คัดเลือกกระเทียมสดคุณภาพดี กลีบใหญ่ แกะง่าย และคำนึงถึงราคาที่เหมาะสมทั้งการรับซื้อจากเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม ตลอดจนดูแลไปถึงราคาขายที่จำหน่ายถึงมือผู้บริโภคจะต้องเป็นราคาที่สอดคล้อง เพื่อให้ทั้งเกษตรกรผู้ปลูกกระเทียม และผู้บริโภคได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน