คุ้ม 3 ต่อกับดั๊บเบิ้ล เอ ฟาสต์พรินต์

ดั๊บเบิ้ล เอ ฟาสต์พรินต์ (Double A Fastprint) สั่งพรินต์งานได้ด้วยตัวเอง ผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ ได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวกรวดเร็ว จัดแคมเปญพิเศษคุ้ม 3 ต่อ โดยต่อที่ 1 เพียงสมัครแอปพลิเคชั่น Double A Fastprint ครั้งแรก รับเครดิตพรินต์ฟรี 20 บาท  ต่อที่ 2 “สะสมแต้ม แลกเครดิต” พรินต์งาน 15 บาท รับ 1 แต้ม ทุกๆ 10 แต้ม แลกได้ 5 บาทเพื่อใช้พรินต์งาน  และต่อที่ 3  แนะนำเพื่อนโหลดแอปฯ Double A Fastprint รับเครดิตพรินท์ฟรี 10 บาทต่อ 1 คน เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2564  สำหรับดั๊บเบิ้ล เอ ฟาสต์พรินต์ เป็นบริการสั่งพรินต์งานบนแอปพลิเคชั่น ทั้งแบบขาวดำหรือแบบสี ด้วยกระดาษดั๊บเบิ้ล เอ 90 แกรมทุกแผ่น คุณภาพงานจึงมีความคมชัด สีสันสวยงาม มีจุดบริการครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 2,000 จุด ได้แก่ B2S , BeTrend, Family Mart, Co-Working Space และสถาบันการศึกษาต่างๆ เป็นต้น พร้อมทั้งมีระบบการชำระเงินที่ปลอดภัยหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นการหักผ่านบัตรเครดิต, True Money Wallet หรือ Line Pay

รักนะน้องชาย พี่ชายปันยิ้ม เดินหน้าโครงการ CSR นำนักแสดง BROTHERS สร้างรอยยิ้มและ ความสุขแก่น้องๆ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก

บริษัท จีทีอี เกรท ทู เอสท์. จำกัด ผู้ผลิตซีรี่ย์วายที่ครบรสที่สุดแห่งปี 2564 เรื่อง BROTHERS “รักนะน้องชายรักนายครับผม” ขนทีมนักแสดงนำมากมาย ร่วมโครงการ “รักนะน้องชาย พี่ชายปันยิ้ม” ร่วมกิจกรรมตอบแทนสังคม เพราะรักคือการให้จึงขอส่งต่อความรักไปยังน้องๆ ณ มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก  โดยมอบทุนการศึกษาประจำปี 2564 จำนวน 40 ทุน แก่เยาวชนในมูลนิธิที่ขาดทุนทรัพย์ในการศึกษา พร้อมด้วยสนับสนุนอาหารมื้อเย็นในวันมอบทุนการศึกษา เช่น พิซซ่า บะหมี่ ไก่ทอด เห็ดกรอบ ทาร์ตลำไย และไอศครีม  อุปกรณ์เครื่องเขียน เสื้อกันหนาว ตุ๊กตา และ แอลกอฮอล์เจล

นอกจากทุนการศึกษา อาหาร และอุปกรณ์ต่างๆแล้ว ทีมนักแสดงยังร่วมกิจกรรมสร้างรอยยิ้ม เล่นเกมส์ แจกอาหาร สร้างความประทับใจ แบ่งปันความอบอุ่นและเป็นกันเอง นำทีมโดย แคนดี้ รากแก่น ครูพล(แม็ค กฤตธัช สาทรานนท์), มะปิง(สตางค์ ปิติ ดุสิตศานติ์), ครูหมอก(ทอมมี่ พาสิศร์ ฑีฆาอุตมากร), แม็บ(โอโม่ พรรคพล ธีระรัตน์สกุล), ไตร(บอส บูลเศรษฐ์ ภูสินโชควงศา), ม็อบ(อีคิว พณิชพล ธีระรัตน์สกุล), ข้าว(เหลียง พิทักษ์ พสุธเมฆพัฒน์), ขุน(ต้าร์ ชวัฒคมน์ เสนะวัต), หลง(หลง กฤติกร จารุธรรมาภรณ์), ปราบ(โฟล์ค ธรรศ อินทร์ธิราช), นิก(คอมแบท ภาณุมาศ แข็งแรงดี), ชล(ภู ภูวริทธิ์ ตั้งโนนสูง), เพื่อนปราบ(เบส ธนบดี สุขจิตร์), ขุน(ป่าน นันทวัฒน์ ศรีวิวัฒน์)

BROTHERS “รักนะน้องชาย รักนายครับผม” ได้ผู้กำกับมากฝีมือ พี่ต้อ มารุต สาโรวาท มาใส่ฝีไม้ลายมือและประสบการณ์อันยาวนานทำให้ซีรี่ย์เรื่องนี้ให้ออกมาฟิน จิ้นจิกหมอนไปด้วยกัน กับผลงานกำกับซีรี่วายเรื่องแรก  แถมพี่พุงพุง ภูมิพัฒน์ ธนาชัยบุญญาพัชร์  ยังมาเสริมทับประสบการณ์ความรักแบบถึงพริกถึงขิงอีกด้วย “รักนะน้องชาย รักนายครับผม” SS1 ซีรี่วายน้ำดี โรแมนติก ดราม่า คอมเมดี้ ที่ให้ทั้งฟินจิกหมอน ให้มุมแมงแง่คิดในมุมมองของความรัก พร้อมออนแอร์ให้รับชมกันทางช่องวัน 31 และ LINE TV ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 พร้อมสามารถรับชมได้ทาง Line TV และฉบับไดเรคเตอร์คัท ทางช่อง 9 MCOT

เฮเฟเล่ ชวนเลือกไอเทมเปิดศักราช รับขวัญบ้านต้นปี ในแคมเปญ “New Year Campaign 2021” วันนี้ ถึง 15 ม.ค. นี้!!

เฮเฟเล่ ชวนคนรักบ้านเปิดศักราชใหม่ปีฉลู เติมเต็มสิ่งดีๆ เข้าบ้านในแคมเปญของขวัญต้อนรับปีใหม่ กับ “New Year Campaign 2021” เลือก 50 ไอเทม 50 ไลฟ์สไตล์ที่ใช่ ให้ทุกห้องเต็มไปด้วยสีสันแห่งนวัตกรรมใหม่ อยู่บ้านสนุกสุขสบายตลอดปี ไม่ว่าจะเป็น เครื่องฟอกอากาศพร้อมไส้กรอง, หม้อทอดไร้น้ำมัน, เตาอบไฟฟ้า, เครื่องสกัดน้ำผลไม้, เครื่องผสมอาหาร, เตาแม่เหล็กไฟฟ้า, ถังขยะระบบเซ็นเซอร์, โคมไฟ LED, ก๊อกเดี่ยวอ่างล้างจาน และจัดเต็มความพิเศษ กับโบนัสสุดคุ้มฉบับ SUPER SET โปรโมชั่นชุดมือจับก้านโยกประตู ครบครันทุกองค์ประกอบ (มือจับ+บานพับ+กันชน) ให้คุณเลือกได้ถึง 4 เซต ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,150 บาท!! หรือเสริมสร้างสุขอนามัย จัดการเชื้อโรคสามจุดสำคัญ กับ SPECIAL BUNDLE SET (โถสุขภัณฑ์+อ่างล้างหน้า+ก๊อกน้ำ) ในราคาเริ่มต้นเพียง 3,390 บาท!! เฉลิมฉลองปีใหม่ รับขวัญบ้านกับสารพันไอเทมดีๆ จากเฮเฟเล่ กับ New Year Campaign 2021 ต้นปีนี้ ที่เว็บไซต์ www.hafelehome.co.th หรือคลิก bit.ly/3of2TwO ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 15 มกราคม 2564 เท่านั้น!

ถอดรหัสโดนัทแบรนด์ระดับโลก “ดังกิ้น” ด้านกลยุทธ์การบริหาร การจัดวางองค์กรในยามวิกฤต และแนวทางการรับมือ ทิศทางในปี 2021

ต้องเรียกว่าปี 2020 นี้แทบจะเป็นตัวชี้วัด ตัวจริงทางธุรกิจในแทบทุกอุตสาหกรรม ทั้งการค้าและบริการ ด้วยวิกฤตที่ถาโถมตั้งแต่ต้นปี กลางปี และก็ยังหวั่นๆ ว่าคลื่นลมจะกลับมาโหมกระหน่ำอีกเมื่อไหร่ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องพลิกกระบวนท่าการตลาด ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้ธุรกิจกันยกใหญ่ และโดนัทแสนอร่อยอย่าง “ดังกิ้น” เอง ก็ยอมรับว่ามีช่วงกราฟขาลงที่ชวนใจหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็กู้วิกฤตทวนกระแสกลับขึ้นมารักษาความเป็นแบรนด์ระดับโลกได้ด้วยกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง มีการเติบโตสวนกระแสตลาดในภาวะวิกฤต

นายภาคิน เพ็ญภาคกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้น โดนัท (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในภาพรวมของตลาดโดนัทนั้น ต้องบอกเลยว่า สร้างความท้าทายให้ผู้ประกอบการเป็นอย่างมาก ด้วยถ้ามองเผินๆ อาจเป็นสิ่งที่สามารถเลือกบริโภคในปริมาณที่ลดลงได้ แต่ตัวเลขที่ปรากฏออกมานั้นกลับสร้างปรากฏการณ์ความตื่นเต้นให้วงการอย่างมากเมื่อ ซึ่งผลประกอบการภาพรวมถ้าเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าดีกว่าที่คาดเอาไว้ โดยภาพรวมบริษัทฯ ยังมีกำไรเติบโตอยู่ประมาณ 30-35 %  

กลยุทธ์หลักสำคัญ มี 3 แก่นหลัก เพื่อติดติดสปีด โตสวนวิกฤต แก่นแรกคือ Management: Down to earth ตัวสินค้าแข็งแรงเป็นเรื่องของหน้าบ้านที่กลุ่มเป้าหมายรับรู้ แต่อีกส่วนที่ทำงานกันหนัก และให้ความสำคัญไม่แตกต่างก็คือการบริหารงานภายใน ที่ในมุมของการนั่งแท่นบริหารสูงสุด

นายภาคิน กล่าวว่าการทำงานของผม ไม่เคยนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แล้วประเมินภาพ สั่งการ หรือวาดความเป็นไปได้ในอากาศ แต่การเข้าไปพูดคุยกับทีมงานหลังบ้านด้วยตัวเองถึงความเป็นไป สถานการณ์จริงที่ต้องเผชิญต่างหาก ที่ทำให้เรากลับมาวางหมากเส้นทางการการตลาดต่อไปได้ รวมถึงการเข้าใจความต้องการของ stakeholder ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เมื่อเกิดภาวะวิกฤตขึ้น เราสามารถเข้าเจรจากันโดยตรง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เพราะสุดท้ายการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่กับลูกค้านอกบ้าน แต่ลูกค้าในบ้านเองก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเรานั่งในใจลูกค้าในบ้านได้ ผนึกกำลังกัน ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายนอกบ้านก็ไม่เกินมือ

แก่นที่ 2 คือ Overview: Flexibility is the key เข้าใจการบริหารงานอย่างตรงจุดแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ก้มหน้าก้มตาไม่หันมองมาไม่ได้ก็คือ เทรนด์ หรือกระแสของตลาดที่มีขึ้น-ลง, เข้า-ออก อยู่ตลอดเวลา ทำให้คำตอบของแก่นสุดท้ายเป็นการมองภาพกว้างให้ออกและพร้อมจะปรับเปลี่ยน “ให้ทัน” ตามสถานการณ์ตรงหน้า เพราะบางครั้งการเต็มใจปรับเปลี่ยนรูปแบบทางการตลาดอาจไม่ทันต่อการหมุนผ่านของกระแสอันเกรี้ยวกราดในยุคนี้ เห็นได้จากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านไป บริษัทได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในการขยายสาขาในปีนี้ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 20 สาขา และมียอดขายด้าน Delivery เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า   3,000 % 

“หู ตาต้องไว อะไรที่ไม่เข้าใจ ต้องเปิดใจรับฟังให้ทันการณ์”

อีก Key ที่ นายภาคิน เพ็ญภาคกุล ได้ฝากไว้

แก่นสุดท้ายคือ Power Question: What’s next ด้วยเชื่อว่าความคำถามที่ดี จะส่งผลต่อการไปต่อที่โตกระโดด เมื่อกำลังจะหมดปี 2020 ที่ผันผวนหนัก ปีหน้าจะใช้ไม้ไหนเข้าโต้คลื่น ซึ่งจากการลงพื้นที่ สำรวจตลาดด้วยตัวเอง ทำให้เห็นช่วงว่างของตลาดใหม่ๆ และจากกลยุทธ์การบริหารภาพรวม ทำให้ตัดสินใจขยายสาขาสวนกระแสแบรนด์อื่นๆ  ถือเป็นการตัดสินใจที่สร้างความแปลกใจให้ตลาดไม่น้อย สำหรับในสภาวะที่ไม่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในภาพใหญ่นี้

 “การวางแพลนต่อไปยังปีหน้า 2021 นั้น เรามองว่า จะขยายไปในพื้นใหม่ๆ ที่เรายังไม่เคยไป ในปัจจุบัน “ดังกิ้น” มีอยู่ทั้งหมด 296 สาขา โดยในปีหน้าตั้งเป้าจะเปิดอีกอย่างน้อย 60 สาขา ทั้งรูปแบบที่เป็นร้านเต็มรูปแบบและคีออส พร้อมการขยายเข้าไปช่องทางใหม่ๆ เช่น โรงพยาบาล และไฮเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างค้าส่งมากขึ้น จากการสำรวจ customer insight มาแล้วพบว่าโดนัทนั้น เป็นสิ่งที่ “อร่อย ง่าย และเร็ว” หมายถึงสามารถซื้อแล้วไปต่อได้เลย ไม่ต้องเสียเวลารอหน้าร้านมาก อีกทั้งหยิบทานได้ตลอดเวลาหิว และช่วยปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นได้หลังจากการบริโภคเข้าไปทันที นี่จึงเป็นอีกจุดแข็งที่ทำให้การขยายตลาดเข้าไปในช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายใช้ Lifestyle ที่รวดเร็ว และไม่ต้องการเสียเวลารออาหารนานๆ ต้องการ

ทางด้าน นางสาวระวีพรรณ์ ประกอบวรรณกิจ รองประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท โกลเด้นโดนัท (ประเทศไทย) จำกัด กุนซือหญิงเหล็กแห่ง “ดังกิ้น” เผยกลยุทธ์การตลาดว่า ในปี 63 นี้ ดังกิ้น ได้ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่องตลอดปี ซึ่งที่ผ่านมาเราได้Clear ‘brand identity’ ตัวตนของแบรนด์ตัวเองว่า เราต้องการส่งมอบประสบการณ์ และความรู้สึกแบบไหนไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา เพื่อไม่ให้เข้าถึงระหว่างทางที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของ “ดังกิ้น” ที่ตอกเสาแบรนด์คาแรคเตอร์ชัดเจนในการย้ำภาพขนมโดนัท ที่ผู้บริโภคจะได้ทั้งความอร่อยและสนุกสนาน ดังนั้นไม่ว่าจะกี่แคมเปญ หรือการ Launch Product ในช่วงไหนก็จะต้องตอบสนอง กระตุ้นการรับรู้ด้านอารมณ์ความสนุกและอร่อยให้ได้อย่างชัดเจน

ซึ่งจุดนี้ Customer Centric strategy เป็นสิ่งแรกที่ถูกดึงขึ้นมาเป็นหมากเด็ดเสมอในการคิดเพื่อตอบโจทย์การเข้าไปนั่งในใจผู้บริโภค รวมทั้งการสร้าง Customer Journey Experience ให้ได้เข้ามาสัมผัสกับความเป็น “ดังกิ้น” ที่ต้องการส่งผ่านความอร่อยพร้อมอารมณ์สนุกเข้าไปในทุก Touch Point ของกลุ่มเป้าหมาย

“อย่างในแคมเปญที่เราได้ดึงตัวสองหนุ่ม “ไบร์ท-วิน” มาร่วมงานในการเปิดตัวคอลเล็กชั่น #Still2getherCollection พร้อมด้วยโดนัท Candy Crack ก็นับเป็นอีกความสำเร็จที่ให้เราได้ Earned Media สูงมากจากการที่ทั้งฐานแฟนคลับของสองหนุ่มเองที่กำลังมาแรง และตัวลูกเล่นของ โดนัท Candy Crack ที่เคาะแล้วมีเสียง ที่บางกลุ่มก็เอาไปครีเอท Content ต่อได้สนุกขึ้น เช่น การเคาะเป็นเพลง หรือ อัดเสียงเคาะลง Social Media ส่วนตัวจำนวนมากในหลากหลาย platform ไม่ว่าจะเป็น facebook, Instagram, twitter และ tiktok เพราะ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ของโดนัท และสร้างความสนใจให้กับเพื่อนได้แชร์ต่อๆ กัน” นางสาวระวีพรรณ์ กล่าว และกล่าวต่ออีกว่า

ซึ่งพื้นฐานมาจากการที่แบรนด์ที่เข้าใจวิถีกลุ่มเป้าหมายนั้น นอกจากสินค้าต้องกินได้อร่อย ยุคนี้สินค้าต้อง instagramable ทำให้สินค้าที่ทำให้เกิด user generated content เป็นที่มาของการได้ Earned Media นั่นเอง  

เมื่อภาพกว้างมองได้ไกล และกลยุทธ์เสริมความแข็งแรงของแบรนด์สอดคล้อง เป็นผลให้การรักษาตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินมือ แถมยังเปรยหมัดเด็ดว่าให้อดใจรอผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่จะมาเขย่าความสนุกครั้งใหม่อย่างเร้าใจแน่นอน แต่ยังขอไม่เปิดเผยตอนนี้ อดใจรอติดตามกันได้ในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า

นางสาวระวีพรรณ์ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า มูลค่าตลาดโดนัทปี 2563 นี้ อยู่ประมาณ  3,300  ล้านบาท ซึ่งดังกิ้นมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 32 % โดยในปีหน้า บริษัทฯ ได้เตรียมงบประมาณการทำตลาดไว้ที่ 70 ล้านบาท ซึ่งรวมไปถึงการลงทุนเปิดร้านใหม่ และงบเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โดยวางเป้าหมายเติบโตจากปีนี้ ไม่น้อยกว่า 10-15 % อีกด้วย

ติดตามความเคลื่อนไว้ของ “ดังกิ้น” ได้ที่

Website: www.dunkindonuts.co.th
Facebook: www.facebook.com/Dunkinthai

โฮมโปร ยึดมาตรการป้องกันความปลอดภัยโควิด-19 อย่างเคร่งครัด พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  โฮมโปรยังคงรักษามาตรการป้องกันไวรัสอย่างเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า, พนักงาน, ตัวแทนจำหน่าย และคู่ค้า ที่ร่วมทำงานกับทุกฝ่าย สร้างความมั่นใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการภายในร้าน ด้วยมาตรการเชิงรุก คัดกรองความเสี่ยงการระบาดของไวรัสโควิด-19 จัดให้มีจุดตรวจคัดกรอง วัดอุณภูมิร่างกายของลูกค้าทุกคน ก่อนเข้าร้าน พร้อมทั้งให้ใส่หน้ากากอนามัยทุกคน จัดบริการเจลล้างมือในจุดบริการต่าง ๆ ทั่วสาขา ทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ทุกครึ่งชั่วโมง  พ่นสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคบริเวณจุดสัมผัส เช่น พื้น, บันไดเลื่อน, ห้องน้ำ, รถเข็น, ตะกร้า ทุกครึ่งชั่วโมง

และสำหรับจังหวัดสมุทรสาคร  ตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ และกรมควบคุมโรค ขอให้ประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร งดเดินทางออกนอกจังหวัด และมีการยกระดับมาตรการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19    โฮมโปร สาขามหาชัย  จึงต้องของดให้บริการชั่วคราว ตั้งแต่วันนี้ถึง 3 ม.ค.64  เพื่อให้เป็นไปตามประกาศของจังหวัดสมุทรสาคร   โฮมโปร ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ 

ทั้งนี้ ลูกค้าโฮมโปร สามารถช้อปผ่านช่องทางออนไลน์ 3 ช่องทาง ได้แก่ SHOP4YOU  เพียงทักมาเราช่วยช้อปแทนลูกค้า เหมือนมีผู้ช่วยส่วนตัว ทั้งยังช่วยเอื้ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง เพียง สั่ง > จ่าย > ส่ง แค่ 3 ขั้นตอนง่ายๆ  สั่ง ที่ช่องทาง Line @HomePro, Facebook HomePro Thailand, จ่าย หลากหลายช่องทางการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต/เดบิต หรือโอนเงิน  ส่ง รวดเร็วถึงบ้านในวัน พร้อมเปลี่ยนคืนสินค้าภายใน 14 วัน ตามมาตรฐานโฮมโปร,  ช้อปออนไลน์ ช้อปสินค้าด้วยตัวเองง่ายๆ แค่คลิกเว็บไซต์ www.homepro.co.th หรือดาวน์โหลด Mobile Application โดยลูกค้าสามารถเลือกดูข้อมูล ราคา สต็อกของสินค้าได้เอง มีสินค้าเรื่องบ้านมากมาย ครบทุกหมวดหมู่ กว่าพันรายการ ชำระเงินได้สะดวก โปรโมชั่นสุดคุ้ม พร้อมบริการส่งถึงหน้าบ้าน หรือจะเลือกรับด้วยตนเองที่สาขากับบริการ Click&Collect   และสามารถช้อปผ่าน Call Center หมายเลข 1284 สั่งซื้อสินค้า และบริการจากโฮมโปร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง บริการโดยทีมคอลเซ็นเตอร์คุณภาพ  ทุกบริการช้อปออนไลน์ของโฮมโปรยังเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า ด้วยบริการส่งฟรีทั่วไทย และบริการส่งภายในวัน Sameday Delivery รวมถึงบริการด้าน Home Service ติดตั้งฟรี เปลี่ยนคืนสินค้า ซ่อมสินค้า เปิดบริการตามปกติที่การันตีด้วยทีมช่างมืออาชีพ

“ออโรร่า วิสดอม” ทุ่ม 3,000 ล้านบาท ผุดโรงงานผลิตถุงมือยางในไทย ตั้งเป้า 3 ปี ผลิตได้ 80 ล้านกล่องต่อเดือน

บริษัท ออโรร่า วิสดอม จำกัด นำโดย ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ผนึกนักลงทุนต่างชาติ ทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาท เปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออก 2 ประเภท 2 แบรนด์ ได้แก่    แบรนด์ออโรร่า (AURORA©) ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP©) ถุงมือทางการแพทย์ โดยแบ่งการลงทุนเป็น 3 ระยะ ระยะแรก 8 สายการผลิตพร้อมส่งออกไตรมาสแรกปี 64 และอีกระยะ 2-3 ภายใน 3 ปี ด้วยเงินลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท 80 สายการผลิตที่จะสามารถผลิตได้ 80 ล้านกล่องต่อเดือน มีกลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ตลาดส่งออกที่อเมริกาและยุโรปเป็นหลัก และเตรียมขยาย Marketing Platform พร้อมชูอุตสาหกรรมยั่งยืนควบกิจการโรงไฟฟ้าสีเขียวไว้ในที่เดียวกัน อนาคตตั้งเป้าขยายการลงทุนเพิ่ม พร้อมที่จะเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทออโรร่า วิสดอม จำกัดเปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ร่วมกับนักลงทุนต่างชาติจากจีน และมาเลเซีย ด้วยสัดส่วนนักลงทุนในประเทศไทย 51% และต่างชาติ 49% ในการเปิดตัวโรงงานผลิตถุงมือยางเพื่อการส่งออกด้วยผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง  2 ประเภท  2     แบรนด์ ที่แตกต่างกันตามการใช้งานและประเภทของวัตถุดิบหลัก ได้แก่ แบรนด์ออโรร่า (AURORA©) เป็นผลิตภัณฑ์ถุงมือยางที่ใช้ทั่วไป (Non-medical gloves)  และแบรนด์ด็อกเตอร์วีไอพี (DOCTOR VIP©) เป็นผลิตภัณฑ์ ถุงมือทางการแพทย์ ซึ่งเป็นถุงมือไนไตร (Nitrile gloves) ด้วยมาตรฐานที่ใช้ในโรงพยาบาลและสถานบริการด้านสุขภาพ 

ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้ ในระยะต้นบริษัทจะลงทุนที่ 8 สายการผลิต งบประมาณรวมทั้งค่าที่ดิน และค่าก่อสร้างที่ 3,000 ล้านบาท โดยโรงงานมีพื้นที่รวม 111 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่โรงงานผลิตถุงมือยางในไตร และพื้นที่สนับสนุน 70% เป็นพื้นที่โรงไฟฟ้าชีวมวล 20% และเป็นพื้นที่จัดเก็บน้ำขนาด 16 ไร่คิดเป็น 10% ของพื้นที่ทั้งหมด และจะทยอยขยายสายการผลิตจนครบ 80 สายการผลิตใช้เงินลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งในระยะแรกบริษัทฯ มีกำลังการผลิตในประเทศไทย และกำลังการผลิตจากโรงงานในประเทศจีนที่รองรับความต้องการได้ที่ 3 ล้านกล่องต่อเดือน และจะทยอยเติบโตไปสูงสุดที่ 80 ล้านกล่องต่อเดือน ภายในระยะเวลา 3 ปี

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันบริษัทมีสาขาอยู่ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน คือ บริษัท ออโรร่าวิสดอม ไชน่า และมีสาขาในทวีปยุโรป ที่กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก คือ บริษัท ออโรร่า วิสดอม เดนมาร์ก ปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาจัดตั้งตัวแทนใน ฮ่องกง กัมพูชา และลาวตาม ลำดับ พร้อมทั้งยังพิจารณาที่จะนำสินค้าไปจำหน่ายผ่าน Marketing Platform อื่นๆ ต่อไปอีกด้วย

 ปัจจุบันโรงงานผลิตถุงมือทางการแพทย์ในไทยส่วนใหญ่ผลิตถุงมือยางพารา ซึ่งหากผู้ใช้สวมถุงมือติดต่อกันอาจมีโอกาสเกิดอาการแพ้โปรตีนในยางพาราในอัตรา 1-5 เปอร์เซ็นต์ และอัตราการแพ้จะเพิ่มสูงได้ถึง 10-12 เปอร์เซ็นต์ ในบุคลากรที่ต้องใส่ถุงมือยางติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นการส่งออกไปยังประเทศแถบอเมริกาและยุโรปจึงมีความต้องการใช้ถุงมือไนไตรมากกว่า หลังจากที่พิจารณาถึงข้อจำกัดและรายละเอียดในการผลิตแล้ว ทางเราได้เล็งเห็นโอกาสที่ผู้ประกอบการของไทยจะผลิตถุงมือยางทั้งแบบที่ใช้ทางการแพทย์ และสำหรับการใช้งานทั่วไปได้อย่างมีคุณภาพ และเข้าเกณฑ์มาตรฐานสากล สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของเรา จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งสองแบรนด์นี้โดยมีการใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่สามารถผลิตถุงมือยางได้ปริมาณ 1 ล้านชิ้นภายใน 24 ชม. ต่อสายการผลิตซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและรองรับความต้องการได้เป็นอย่างดี ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าว

ทั้งนี้โรงงานของบริษัท ออโรร่า วิสดอม ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี  เป็นโรงงานแห่งแรกที่เปิดสายการผลิตถุงมือ ร่วมกับโรงไฟฟ้าแบบชีวมวลขนาด 8 เมกะวัตต์ บนพื้นที่ทั้งหมด 111 ไร่ ควบคู่กันไป  เพื่อเดินตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีการใช้ทรัพยากรแบบหมุนเวียน และมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ตามแบบโรงงานสีเขียว มีการหมุนเวียนทรัพยากรน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตและการนำวัตถุดิบที่เหลือจากเกษตรกรในท้องถิ่นมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลผลิตทั้งจากโรงงานถุงมือและโรงไฟฟ้าชีวมวล จะสร้างรายได้ให้กับธุรกิจ รวมทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

ศ.ดร.นพ. วิปร วิประกษิต กล่าวทิ้งท้ายว่า “บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนในการตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะผลิตถุงมือทางการแพทย์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เช่นถุงมือทางการแพทย์สำหรับแพทย์เฉพาะทาง เช่นศัลยแพทย์กระดูก สูติแพทย์ ถุงมือสำหรับการผ่าตัดส่องกล้องและการจัดตั้งสายการผลิตถุงมือทางการแพทย์แบบปลอดเชื้อ (sterile gloves) ต่อไปอีกด้วย”

ฉลองความสุข ส่งท้ายปีกับ “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” พบโปรสุดคุ้มเอาใจคนรักบ้าน สินค้าลดสูงสุดกว่า 70%!! 18-27 ธ.ค. 63 นี้ 10 วันเท่านั้น ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ เชียงใหม่

โฮมโปร ยกขบวนความสุขขึ้นเหนือส่งท้ายปี จัด “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา จัดเต็มสินค้าเพื่อบ้านรับลมหนาว ลดสูงสุด 70% พลาดไม่ได้กับโปรสุดคุ้มเอาใจคนรักบ้าน ช้อปครบ…รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่าสูงสุดถึง 22,000 บาท ลดเพิ่มเมื่อใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ายอดช้อป ลดเพิ่มสูงสุด 20% เมื่อช้อป 20,000 บาทขึ้นไป บัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัมลดทันที 3% ตั้งแต่บาทแรก พร้อมรับเครดิตเงินคืนเพิ่มสูงสุด 60,000 บาท เมื่อชำระเต็มจำนวน และบัตรโฮมโปร เฟิร์สช้อยส์ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 20,000 บาท หรือผ่อน 0% ทั้งงาน สูงสุด 12 เดือน คุ้มค่าไปอีกขั้น กับสิทธิพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ ผ่อนทั้งงาน 0% นานสูงสุด 20 เดือน พร้อม “ช้อปดีมีคืน” ลดหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 18-27 ธันวาคม 2563 นี้10 วันเต็ม ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ เชียงใหม่ ตั้งเป้ายอดขายกว่า 90 ล้านบาท

นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร”  เผยว่า “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” ในครั้งนี้ถือเป็นอีเว้นท์ใหญ่ส่งท้ายปี เพื่อกระตุ้นการจับจ่าย และสร้างความเชื่อมั่นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดไตรมาส 4 และนอกจากสินค้าเรื่องบ้านยกขบวนกันมาลดราคาพิเศษแล้ว ภายในงานยังให้ความสำคัญสูงสุดกับมาตรการด้านสุขอนามัย เเละความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเเพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเต็มที่

สำหรับ “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” ในครั้งนี้ ได้ยกขบวนสินค้ามาให้ฟินไปกับสินค้าเรื่องบ้านรับลมหนาว กับมหกรรมเครื่องทำน้ำอุ่น ลดสูงสุด 30% พร้อมติดตั้งฟรี ทุกรุ่น ทุกแบรนด์ รับฟรี Gift Voucher สูงสุดมูลค่า 5,000 บาท เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 100,000 บาทขึ้นไป สินค้าราคาพิเศษวันธรรมดา จันทร์ – ศุกร์ WEEKDAY STAR ลดเพิ่มอีก 15% เมื่อใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ายอดช้อป เริ่ม 18 ธ.ค. และ 21-25 ธ.ค. 63 ที่งาน โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่เท่านั้น หรือเลือกช้อปสินค้าอื่น ก็คุ้มค่าไม่แพ้กัน กับขบวนสินค้า Super Shock !! ช็อคได้ทุกวันสินค้าราคาพิเศษ ครบครันทุกแผนก เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องครัว, เครื่องใช้ในบ้าน, ที่นอน และเครื่องนอน, เฟอร์นิเจอร์, โคมไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้า, อุปกรณ์ปรับปรุง-ซ่อมแซมบ้าน, สุขภัณฑ์ และอุปกรณ์ห้องน้ำ ลดราคาทุกชิ้นสูงสุดอีกกว่า 70% ตลอด 10 วันเท่านั้น

นางสาวเสาวณีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือจากสินค้าเรื่องบ้านที่เราขนมาให้ช้อปแบบจัดเต็มแล้ว งานโฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่ ครั้งนี้ยังเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์แฟร์ ที่เนรมิตบรรยากาศความสุข มาเติมเต็มให้คนเหนือโดยเฉพาะ ร้านอาหาร และสินค้าขึ้นชื่อเมืองเชียงใหม่ เสื้อผ้าแฟชั่น ผ้าไหม ผ้าไทยรวมกว่า 100 ร้านค้า พร้อมด้วยของขวัญพิเศษจากโฮมโปร สามารถนำคะแนนสะสมจากบัตรที่ร่วมรายการ มาแลกเป็นของพรีเมี่ยมได้ฟรี ที่หน้าประตูทางเข้าฮอลล์ ถือเป็นการสร้างความสุขส่งท้ายปี รับกับสิ่งดีๆ ก่อนวันปีใหม่ ที่พี่น้องชาวเหนือจะได้รับตลอด 10 วันเต็ม พร้อมใช้บริการส่งเร็วเหนือระดับกับ “SAMEDAY Delivery” จัดส่งสินค้าซื้อวันนี้ ส่งวันนี้ สะดวก รวดเร็ว ครบถ้วน ไม่มีตกหล่น กับค่าบริการสุดประหยัด แค่ซื้อสินค้าในงาน ลงทะเบียนคิวจัดส่ง ก็พร้อมบรรจุสินค้าในกล่องป้องกันความเสียหายอย่างดี จัดส่งตามรอบ รับสินค้าที่หน้าบ้านภายในวัน

พบกับงานแฟร์เรื่องบ้านส่งท้ายปี ที่ทุกคนต้องมา “โฮมโปร แฟร์ เชียงใหม่” ช้อปคุ้ม ของครบ ตอบโจทย์ทุกเรื่องบ้าน ได้ของขวัญสุดคุ้มค่า เพื่อความสุขทุกงานเทศกาล ตั้งแต่วันที่ 18-27 ธันวาคม 2563 นี้ 10 วันเท่านั้น ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ เชียงใหม่ รายละเอียดเพิ่มเติมที่

www.homeprofair.com มั่นใจ ปลอดภัย ทุกจุด เมื่อมาช้อปที่โฮมโปร ตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องบ้าน

เนทติเซนท์ จับมือ “หัวเว่ย คลาวด์” ผนึก 2 ผู้นำเทคโนโลยีครั้งสำคัญ เปิดตัว netizen.cloud ยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลสำหรับ SAP ERP ที่ดีที่สุด สร้างองค์กร Digital Enterprise ขับเคลื่อนอนาคตธุรกิจไทย

เนทติเซนท์ จับมือ หัวเว่ย คลาวด์ ผนึก 2 ผู้นำด้านเทคโนโลยี ในฐานะ “Strategic Partner” เพื่อ Drive Business ลูกค้าองค์กรธุรกิจชั้นนำที่ใช้ซอฟต์แวร์ SAP ERP เปิดตัวโซลูชัน netizen.cloud คลาวด์ที่ดีที่สุด “ที่คุณเชื่อมั่นและสัมผัสได้” โดยมีการนำเทคโนโลยี และ Infrastructure จาก Huawei Cloud มาพัฒนาต่อยอดในการให้บริการโซลูชันคลาวด์สำหรับองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์ SAP ERP เพื่อนำไปสู่การเป็น Digital Enterprise และยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลบน Cloud Platform ซึ่งจะทำให้การรับ-ส่งข้อมูล การย้ายฐานข้อมูลของระบบ ERP ที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจขององค์กร เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว คล่องตัว ลดระยะเวลา ลดค่าใช้จ่ายทรัพยากรและ TCO (Total Cost of Ownership) ได้มากขึ้น โดยมีทีมงานที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำตลอดการวางระบบ รวมทั้ง Data Center ยังตั้งอยู่ในประเทศไทย ที่ทำให้การส่งถ่ายข้อมูลมีความปลอดภัย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

นายกฤษดา สาธุกิจชัย Founder บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด (Netizen) เผยว่า เนทติเซนท์ เติบโตขึ้นมาด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการยกระดับระบบไอที ให้กับองค์ธุรกิจชั้นนำของประเทศ ด้วยการใช้ความรู้ความสามารถจากตำแหน่ง ‘บริษัทที่ปรึกษาของซอฟต์แวร์ SAP ประเทศเยอรมนี’ มาผสานเข้ากับกระบวนการดำเนินธุรกิจ ที่ครอบคลุมขั้นตอนการบริหารงานในทุกโซลูชั่น และสามารถประยุกต์ให้ตอบโจทย์กับทุกอุตสาหกรรมไทย โดยบริการที่เนทติเซนท์เชี่ยวชาญ มีตั้งแต่ให้คำปรึกษาด้านการนำซอฟต์แวร์ไป Apply ให้ตอบโจทย์องค์กร, การเป็นผู้พัฒนาโซลูชั่นที่ดีที่สุดและตรงตามรูปแบบธุรกิจของลูกค้า และเป็นผู้วางโครงสร้างของระบบ หรือ ‘Infrastructure’ ตั้งแต่รูปแบบของ Network, System, Backup Solution ไปจนถึง Security

เนทติเซนท์ ทุ่มเทเวลากว่า 20 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท ไปกับการนำเสนอบริการ ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด เช่น การจัดการบริการระบบสำคัญอย่าง ERP ที่มีความซับซ้อนและข้อมูลจำนวนมากให้เป็นไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพื่อช่วยลดระยะเวลา, ลดการใช้ทรัพยากร, ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านไอที และช่วยรองรับการเพิ่มสเกลของระบบ รับกับการเติบโตขององค์ได้ในทันที รวมไปถึงการมี Data Center ในประเทศไทย เพื่อช่วยรักษาความปลอดภัยของข้อมูล สามารถบริหารจัดการในภาวะวิกฤตได้แบบไร้รอยต่อ ที่สำคัญ บริษัทยังได้ร่วมมือกับ ‘หัวเว่ย คลาวด์’ ในการนำเทคโนโลยี Infrastructure มาผสานกับการให้บริการโซลูชั่นคลาวด์ สำหรับองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์ SAP เพื่อนำไปสู่การเป็น Digital Enterprise พร้อมเติบโตร่วมกันกับลูกค้าในฐานะ Business Partner อย่างแท้จริง

การร่วมมือกันระหว่าง เนทติเซนท์ และ หัวเว่ย คลาวด์ จะเกิดขึ้นในฐานะ “Strategic Partner” ภายใต้การ Drive Business ขององค์กรชั้นนำด้วย “netizen.cloud” เพื่อยกระดับการบริหารจัดการข้อมูลบน Cloud Platform ที่ดีที่สุดสำหรับซอฟต์แวร์ SAP และ ERP ซึ่งการยกระดับครั้งนี้จะเกิดขึ้นบนโซลูชั่น SAP S/4HANA เวอร์ชัน Netizen Peony รูปแบบ On Cloud ที่จะทำให้การรับ-ส่งข้อมูล รวมถึงการย้ายฐานข้อมูลของระบบ ERP ที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัวมากขึ้น พร้อมช่วยให้กลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้งาน “netizen.cloud” เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม Healthcare, Manufacturing, Edutech และ Transportation มีการบริหารค่าใช้จ่ายจากรูปแบบ CAPEX เป็น OPEX ช่วยรักษา Cash Flow และลดค่าใช้จ่ายในส่วนของ TCO (Total Cost of Ownership) ได้มากขึ้น

ด้าน นางสาวปิยะธิดา อิทธิระวิวงศ์ ประธานกรรมการ ธุรกิจคลาวด์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า หัวเว่ย คลาวด์ เล็งเห็นถึงจุดเด่นของ เนทติเซนท์ ทั้งแง่ของความแข็งแกร่งด้าน Methodology และประสบการณ์วางระบบซอฟต์แวร์ SAP, ERP กว่า 20 ปี ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าการร่วมมือ นำเทคโนโลยี Infrastructure หลักของ Huawei Cloud มาใช้ในครั้งนี้ จะสามารถสร้างสรรค์ Cloud Platform ที่ดีที่สุดได้ เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมภาคธุรกิจไทยครั้งใหม่ และยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของ 2 องค์กรในการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถตอบโจทย์การนำพาลูกค้าไปสู่ Digital Enterprise ได้อย่างตรงจุด แสดงถึงจุดแข็งของเนทติเซนท์ ในการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าทุกธุรกิจและหลากอุตสาหกรรมได้อย่างชัดเจน

การร่วมมือนำความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี Infrastructure ของ Huawei Cloud มาใช้ เกิดขึ้นเพื่อเป้าหมายในการสร้างอนาคต ขับเคลื่อนธุรกิจในประเทศไทยให้เติบโต ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีนี้มี AZ (Availability Zone) ถึง 2 AZ ในประเทศ และเตรียมเสริมความแข็งแกร่งขึ้นอีก 1 AZ ในปี 2021 รองรับด้วยมาตรฐานและความปลอดภัยสูงในระดับโลก นั่นหมายความว่า การทำงานของ netizen.cloud จะถูกยกระดับไปอีกขั้น ให้สามารถรองรับการรับ-ส่งข้อมูล และย้ายฐานข้อมูลของระบบ SAP, ERP ที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจขององค์กร เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังเสริมการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เช่น เรื่อง Cash Flow Management หรือการวาง Provision ด้าน Performance ต่างๆ ของลูกค้า ที่สามารถช่วยวางแผนเรื่องการลงทุนในอนาคตได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน เนทติเซนท์ มีโซลูชั่นที่คอยขับเคลื่อนธุรกิจให้องค์กรชั้นนำอยู่มากมาย อาทิ “netizen.cloud” ระบบคลาวด์ที่ดีที่สุดสำหรับซอฟต์แวร์ SAP, ERP ภายใต้กระบวนการทำงาน Best Practice เพื่อย้ายฐานข้อมูล ERP และระบบโดยรอบขององค์กร สู่ Local Cloud ที่มี Hyper Scaler Cloud มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล สามารถช่วยจัดการทั้งในส่วนของ Platform Layer ไปจนถึง Application Layer ทำงานโดยทีมงานและที่ปรึกษามากประสบการณ์จากเนทติเซนท์ ที่พร้อมดูแลองค์กรตลอดเวลา ทั้งยังรองรับการทุกปรับเปลี่ยนเพื่อตอบรับต่อสถานการณ์ที่คาดเดาได้ยากในปัจจุบัน ช่วยตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าในทุกมิติ

  • “SAP S/4HANA” เวอร์ชัน Netizen Peony สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ พัฒนาเพิ่มเติมจากแบบ On Premise และ On Cloud เพื่อเชื่อมต่อการทำงานจากทุกส่วนเข้าไว้ด้วยกัน เหมาะสำหรับองค์กรที่มีกระบวนการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อน และมี Transaction จำนวนมาก
  • “SAP Business ByDesign” เวอร์ชัน Netizen Arabica ระบบ Real Cloud ERP พัฒนาเพื่อตอบสนองด้วยฟังก์ชันการทำงานที่ครบวงจร ตั้งแต่ระบบ ERP, CRM, HR และ SCM รายงานผลแบบเรียลไทม์ รองรับการทำงานบน Mobile Device เพื่อการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา
  • “Origami.Life Collaboration Platform” แพลตฟอร์มเชื่อมโยงคนและข้อมูลในรูปแบบ Digital ที่นำไปสู่การทำ Business Process และ Digital Transformation ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์การทำงาน ของบริษัท Gen ใหม่ในปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ ดีไซน์สวย ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ Employee Self-Services มีความสามารถหลักในการบริหารจัดการบุคลากรในองค์กร ทั้งการ Stamp in-out เข้างาน, การเก็บข้อมูลงาน, ข้อมูลพนักงาน, การขาดลามาสาย, การอบรมพนักงาน, รวมถึงกิจกรรมงานที่ได้ปฏิบัติในแต่ละวัน โดยสามารถดูผ่านรีพอร์ท และสามารถวิเคราะห์ KPI การทำงานของบุคลากรได้อย่างโปร่งใส บนมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง

โนเบิล คอสเพอร์ เปิดศึกมัดใจคนเข้าครัวยุคใหม่ ดึงเชฟดัง ดันแบรนด์ รัสเซลล์ ฮอบส์รุกตลาดเครื่องครัวท้ายไตรมาส หวังโตส่งท้ายปี 50%

โนเบิล คอสเพอร์ เตรียมรุกตลาดเครื่องครัวส่งท้ายไตรมาส เดินกลยุทธ์ “Collaboration Marketing” ดึง  “เชฟจารึก ศรีอรุณ” อาจารย์และเชฟดีกรีเหรียญทองระดับโลก ดันแบรนด์ รัสเซลล์ ฮอบส์ (Russell Hobbs) มัดใจคนทำครัวยุคใหม่ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม หม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมัน Air Fryer 3.5 ลิตร, Brooklyn Air Fryer 5 ลิตร และผลิตภัณฑ์เตรียมอาหาร Desire Matt Black Food Preparation หวังดันยอดปลายปีโตมากกว่าปีกลาย 50%

นางสาวอารดา วิทยวิรานนท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท โนเบิล คอสเพอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า “หนึ่งในธุรกิจหลักของบริษัท คือการจำหน่ายสินค้าจากแบรนด์ รัสเซลล์ ฮอบส์ (Russell Hobbs) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องครัวชั้นนำระดับโลก จากประเทศอังกฤษที่มีประวัติยาวนานกว่า 68 ปี ซึ่งเดิมทีสินค้ายอดนิยมของแบรนด์รัสเซลล์ ฮอบส์ คือกลุ่มเครื่องเตรียมอาหาร อาทิ เครื่องตี เครื่องปั่น รวมถึงเครื่องบดสับ แต่ภายหลังเมื่อบริษัทได้เปิดตัวหม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมัน หรือที่นิยมเรียกว่า หม้อทอดไร้น้ำมันออกมาจำหน่าย ประกอบกับสถานการณ์ล็อกดาวน์ทำให้คนหันมาทำอาหารทานเองที่บ้า จึงทำให้กลุ่มเครื่องครัวไฟฟ้า กลายมาเป็นผู้นำแทนกลุ่มเครื่องเตรียมอาหาร ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงได้เตรียมรุกตลาดเครื่องครัวส่งท้ายไตรมาส ด้วยการเดินกลยุทธ์ “Collaboration Marketing” แสดงประสิทธิภาพของหม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมัน รัสเซลล์ ฮอบส์ เพื่อมัดใจคนทำครัวยุคใหม่อย่างเต็มพิกัด

กลยุทธ์ “Collaboration Marketing” จะเป็นการดึงเอาประสิทธิภาพของหม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมันรุ่นใหม่ จากแบรนด์รัสเซลล์ ฮอบส์ ออกมาแสดงให้เห็น ผ่านฝีมือการทำอาหารของ “เชฟจารึก ศรีอรุณ” อาจารย์และเชฟดีกรีเหรียญทองระดับโลก ทั้งยังมีรางวัลอื่นอีกมากมายเป็นเครื่องการันตี ซึ่งการตลาดในครั้งนี้มีแนวคิดในการเชื่อมโยงผู้บริโภคชาวไทย เข้ากับแบรนด์เครื่องครัวจากยุโรป โดยใช้ความชำนาญในการทำอาหารไทย และความรู้ด้านอาหารยุโรป ของเชฟจารึกเป็นศูนย์กลาง เพื่อแสดงออกถึงเครื่องมือในการทำครัว ที่สามารถสร้างสรรค์อาหาร ได้ตามแบบของผู้บริโภค ตามสโลแกนของแบรนด์รัสเซลล์ ฮอบส์ที่ว่า “เป็นหัวใจของบ้านคุณ” (At the heart of your home) และครั้งนี้ยังเราได้มาเปิดตัวในร้านที่มีวัตถุดิบ ชั้นเลิศอย่าง ร้านแอคซิเดนทัล บุชเชอร์ (The Accidental Butcher) แห่งนี้ ที่มีความเป็นเลิศในการเลือกสรรวัตถุดิบคุณภาพระดับโลกอย่างประณีต ทั้งยังเน้นด้านความสดใหม่และความสะอาดมาเป็นอันดับหนึ่ง รวมถึงรู้ใจและเข้าใจในตัวลูกค้า สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างครบครัน ดุจคนในครอบครัว เช่นเดียวกับแบรนด์รัสเซลล์ ฮอบส์ เครื่องครัวยุคใหม่ ที่สามารถเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในบ้านคุณ และเป็นสินค้าที่ดีที่สุด ที่เชฟนั้นนำเลือกใช้ (The Best Products on Chef’s Choice) ดังนั้น เราจึงมั่นใจว่าครั้งนี้เป็น Concept ที่เข้ากันอย่างลงตัวที่สุด

สำหรับการรุกตลาดส่งท้ายไตรมาสของ โนเบิล คอสเพอร์ จะใช้สินค้าเครื่องครัวในกลุ่มพรีเมี่ยมเป็นหลัก เพื่อตอบรับกับการเติบโตของผู้บริโภคกลุ่ม B+ ที่เน้นทำอาหารทานเองที่บ้าน และแสดงถึงคุณภาพของสินค้า ที่มีมาตรฐานเดียวกันกับตลาดยุโรป ได้แก่ สินค้ากลุ่มหม้อทอดไร้น้ำมัน (Air Fryer) 2 รุ่น คือ Air Fryer 3.5 ลิตร รุ่น RHAF3C ราคา 6,900 บาท มีตะกร้าจุอาหาร 3.5 กิโลกรัม การใช้งานแบบหมุน สามารถเลือกตั้งค่าอุณหภูมิความร้อนได้ สูงสุด 200 องศา ตั้งค่าเวลาสูงสุดที่ 60 นาที กำลังไฟ 1600 วัตต์ และ Brooklyn Air Fryer 5 ลิตร รุ่น RHAF5COP ราคา 8,500 บาท มีตะกร้าจุอาหาร 5 กิโลกรัม การใช้งานระบบอัตโนมัติ หน้าจอระบบสัมผัส มี 7 โหมดการทำงานอัตโนมัติ ทอด,พอร์คชอป,กุ้งอบ,อบขนมปัง,ไก่ย่าง,สเต็ก,ปลาย่าง อุณหภูมิความร้อนสูงสุด 200 องศาตั้งค่าเวลาได้สูงสุดที่ 60 นาที กำลังไฟ 1600 วัตต์ รับประกันสินค้า 2 ปี

นอกจากนี้ โนเบิล คอสเพอร์ จะใช้อีกหนึ่งสินค้าพรีเมี่ยมจากแบรนด์รัสเซลล์ ฮอบส์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เตรียมอาหาร มาใช้เสริมการรุกตลาดครั้งนี้ด้วย คือ Desire Matt Black Food Preparation คอลเลคชั่นสีดำด้านที่เหมาะสำหรับครัวยุคใหม่ มีผสมผสานความเงาและด้านในชุดครัว ทำให้ดูล้ำสมัยเหมาะสำหรับอนาคต ในชุดประกอบด้วย เครื่องตีแป้งมือถือรุ่น 24672-56 ราคา 2,300 บาท เครื่องปั่นมือถือรุ่น 24702-56 ราคา 3,200 บาท เครื่องปั่นโถแก้วรุ่น 24722-56 ราคา 3,950 บาท เครื่องบดสับ รุ่น 24662-56 ราคา 2,100 บาท และ เครื่องผสมอาหาร รุ่น 24732-56 ราคา 5,100 บาท ตอกย้ำถึงประสิทธิภาพและงานดีไซน์ ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มผลิตภัณฑ์เตรียมอาหาร

หลังจากที่บริษัทเปิดตัวหม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมันเครื่องแรกไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ได้สร้างผลลัพธ์ทำให้ภาพรวมของแบรนด์โตขึ้น 40% ส่วนในปีนี้ผลกระทบจากช่วงล็อกดาวน์ เป็นเวลากว่า 2 เดือน ทำให้ยอดขายออฟไลน์ลดลงอย่างมาก แต่ในทางกลับกัน การที่ผู้บริโภคทำอาหารทานเองที่บ้าน และให้ความสำคัญกับเครื่องครัวมากขึ้น ได้ทำให้ยอดขายทางออนไลน์มีการเติบโตมากขึ้นถึง 5 เท่า ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายทางออนไลน์ของบริษัทมีการเติบโตถึง 130% และในปีนี้เราคาดหวังว่าการเปิดตัวหม้อทอดไร้น้ำมัน 2 รุ่นใหม่ และกลยุทธ์ Collaboration Marketing ร่วมกับเชฟจารึก จะช่วยดันให้บริษัททำยอดปลายปีได้มากกว่าปีก่อนถึง 50% นางสาวอารดา สรุปทิ้งท้าย

เตรียมพบกับหม้อทอดเอนกประสงค์แบบไร้น้ำมัน 2 รุ่นใหม่ และอุปกรณ์เครื่องครัวจาก รัสเซลล์ ฮอบส์ ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป และบนช่องทาง Omni channel เพิ่มความสะดวกสบาย ถามคำถามและบริการหลังการขายผ่าน LINE Official Account “noblecosperclub” และหาข้อมูลผลิตภัณฑ์ ลงทะเบียนรับประกัน และเช็คเลข tracking ด้วยตัวเอง ผ่านเว็บไซต์ www.noblecosper.com

“อิเกีย แพลนต์บอล” เมนูใหม่สำหรับคนรักษ์โลก อิ่มอร่อยกับรสชาติแบบดั้งเดิมเพื่อโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น

ร่วมพลิกประสบการณ์ความอร่อยครั้งใหม่…อิเกีย พลิกโฉม “มีทบอล” เมนูยอดนิยมตลอดกาลที่ครองใจแฟนอิเกียทั่วโลก เปิดตัว “แพลนต์บอล” HUVUDROLL เมนูใหม่สูตรไร้เนื้อสัตว์ แต่ยังคงรสชาติความอร่อยไม่เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมคือดีต่อโลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และห่วงใยสุขภาพมากขึ้นกว่าเดิม ผ่านกระบวนการผลิตซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียง 4%  พร้อมให้เหล่าแฟนตัวยงของมีทบอลอิเกียได้ลิ้มลองกันแล้ววันนี้กับ 2 เมนูเด็ด ได้แก่ แพลนต์บอล 8 ลูก เสิร์ฟพร้อมมันบด และบรอกโคลี่ 100 บาท และแพลนต์บอล 8 ลูก เสิร์ฟพร้อมข้าวไรซ์เบอร์รี่, เบบี้แครอท และ ซอสต้มยำ 90 บาทที่ร้านอาหารอิเกีย หรือจะเลือกซื้อแพลนต์บอลไปเป็นวัตุดิบรังสรรค์เมนูโปรดด้วยตนเองก็ได้ที่มุมอาหารและขนมสวีเดน ทั้งอิเกีย บางนา อิเกีย บางใหญ่ อิเกีย ภูเก็ต และยังสามารถสั่งผ่านไลน์แมนได้อีกด้วย

IKEA Plant Ball

อิเกีย ยึดมั่นในนโยบายการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนเพื่อโลกของเรา อิเกียเชื่อว่า แม้เพียงสิ่งเล็กๆ ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ “อิเกีย แพลนต์บอล” คือหนึ่งในความตั้งใจดังกล่าว เป็นการโคจรมาพบกันของวัตถุดิบในมีทบอลสูตรต้นตำรับของสแกนดิเนเวีย กับกรรมวิธีการสกัดโปรตีนอันทันสมัย เพื่อให้ได้แพลนต์บอลที่มีการปล่อยก๊าซที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพียง 4% เท่านั้น แพลนต์บอลยังนับเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับสายสุขภาพที่อยากลดการรับประทานเนื้อสัตว์  โดยไม่เสียประสบการณ์และรสชาติแบบต้นตำรับไป ย้ำให้เห็นว่าการลดปริมาณเนื้อสัตว์ที่ใช้ผลิตอาหารในอนาคต ก็สามารถมอบความอร่อยได้เหมือนเดิม ไม่ว่าคุณจะเป็นสายเนื้อ หรือสายผักก็ตาม อิเกีย แพลนต์บอล ผลิตจากถั่วโปรตีน มันฝรั่ง หัวหอม ข้าวโอ๊ต และแอปเปิ้ล เพิ่มความเข้มข้นด้วยเห็ด มะเขือเทศและผงที่ได้จากผักย่าง
คงรสชาติแสนอร่อยและเนื้อสัมผัสที่เหมือนอิเกีย มีทบอล

อเล็กซานเดอร์ แมกนาสสัน (Alexander Magnusson)  เชฟและผู้นำโครงการ อิเกีย ฟู้ด กล่าวว่า “รสชาติที่เหมือนจริงแบบไร้ที่ตินั้นเป็นโจทย์ที่สำคัญในการผลิตแพลนต์บอล เราจึงได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและอาศัยหลักวิทยาศาสตร์ในการสกัดโปรตีนจากผัก เพื่อให้ได้แพลนต์บอลที่มีรสชาติเหมือนมีทบอลของเราแบบแยกไม่ออก แม้ว่าจะผลิตจากโปรตีนจากแหล่งส่วนผสมทางเลือกก็ตาม เรานำถั่วลันเตาสีเหลืองมาผ่านกระบวนการสกัดโดยผสมกับน้ำที่อัดผ่านหัวฉีดจากแรงดันสูง จากนั้นนำเม็ดโปรตีนที่ได้ไปผสมกับหอมหัวใหญ่ มันฝรั่งต่อด้วยรำข้าวโอ๊ต แอปเปิ้ลแห้ง และน้ำมันคาโนล่า (rapeseed) ผลที่ได้คือแพลนต์บอลที่มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่ชัดเจนเหมือนต้นตำรับ”

“อิเกีย ฟู้ด ได้ทำการวิเคราะห์จากวัตถุดิบทั้งหมดของเรา และพบหลักฐานชัดเจนว่าเนื้อแดงส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศมากที่สุด จึงนับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญของอิเกีย นับตั้งแต่เริ่มเปิดตัวมีทบอลในพ.ศ. 2528 และขึ้นแท่นเป็นสินค้าของดีของอิเกียทั่วโลก ด้วยยอดขายกว่าหนึ่งพันล้านลูกต่อปี เราลองคำนวนดูว่าหากเราสามารถเปลี่ยนมีทบอลจำนวนหนึ่งเป็นแพลนต์บอล จะช่วยการลดผลกระทบต่อสภาวะอากาศอย่างมหาศาล
ชาร์ลา ฮาลวอร์สัน (Sharla Halvorson) ผู้จัดการด้านสุขภาพและความยั่งยืน อิเกีย ฟู้ด กล่าวและเสริมว่า “เราจึงได้เริ่มคิดค้นสูตรแพลนต์บอลเพื่อทดแทนมีทบอลอย่างจริงจัง และตั้งเป้าที่จะขายมีทบอลให้น้อยลงในอนาคต”

IKEA Plant Ball

ข้อเท็จจริงและสถิติทางสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ

  • การปล่อยก๊าซที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในการผลิตแพลนต์บอลเพียงแค่ 4%
  • เราสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 73 % เพียงลดการรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม
  • 70% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตอาหารอิเกียมาจากเนื้อวัวและเนื้อหมู
  • 14.5 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งโลกนั้น มาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์
  • ด้วยเหตุนี้ อิเกียจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างสภาพอากาศเชิงบวกให้สำเร็จภายในพ.ศ. 2573 นั่นหมายความว่าเราจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าห่วงโซ่คุณค่าของเราที่มาพร้อมกับการเติบโตของธุรกิจอิเกีย โดยภายในพ.ศ. 2565 อิเกียจะมีผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากพืชจำหน่ายในสัดส่วน 20% ของผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหมด

อร่อยรักษ์โลกกับอิเกีย แพลนต์บอล สัมผัสประสบการณ์ครั้งใหม่แบบไร้เนื้อสัตว์ แต่ยังอร่อยเหมือนเดิมที่ร้านอาหารอิเกีย กับ  เมนูแสนอร่อย ได้แก่  แพลนต์บอล 8 ลูก เสิร์ฟพร้อมมันบด และบรอกโคลี่ ราคา 100 บาทแพลนต์บอล 8 ลูก เสิร์ฟพร้อมข้าวไรซ์เบอร์รี่, เบบี้แครอท และซอสต้มยำ ราคา 90 บาท หรือซื้อกลับไปปรุงที่บ้านปริมาณ 500 กรัม ราคา 250 บาท ที่มุมอาหารและขนมสวีเดน ในอิเกียทุกสาขา พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อโลกของเรากับอิเกีย