Health » นอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง มือสั่น ภัยเงียบ “โรคพาร์กินสัน”หนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบผู้ป่วยอันดับ 2 รองจาก “โรคอัลไซเมอร์”

นอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง มือสั่น ภัยเงียบ “โรคพาร์กินสัน”หนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบผู้ป่วยอันดับ 2 รองจาก “โรคอัลไซเมอร์”

10 เมษายน 2025
33   0

หลายคนมักมองข้ามอาการเช่น นอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง มือสั่น แต่รู้หรือไม่ อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณร้ายของ “โรคพาร์กินสัน” หนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบมากเป็นอันดับ 2    รองจากอัลไซเมอร์ และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ โรคนี้ไม่ได้เป็นแค่โรคของผู้สูงอายุอีกต่อไป เพราะหลายคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อยโดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่ากำลังป่วยอยู่

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและโรคพาร์กินสันจากโรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวถึงการเกิดโรคพาร์กินสันว่า “โรคนี้เกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทในก้านสมอง ทำให้การผลิตสารโดปามีนลดลง ส่งผลให้การเคลื่อนไหวเริ่มช้าลง และอาจมีอาการอย่างมือสั่นปรากฏออกมา หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการจะยิ่งรุนแรงจนไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้”

แม้ว่าโรคพาร์กินสันจะถูกค้นพบมานานกว่า 200 ปีแล้ว แต่ในประเทศไทยผู้คนส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มรู้จักโรคนี้จริงจังในช่วง 10-20 ปีมานี้ หลายคนยังเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ “โรคมือสั่น” ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมอง ทั้งที่ในความจริงแล้ว โรคพาร์กินสันคือหนึ่งในกลุ่ม “โรคสมองเสื่อม” ที่พบบ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากอัลไซเมอร์ และสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ โรคนี้ไม่ได้เป็นเพียงโรคของผู้สูงอายุเท่านั้น แต่คนทุกวัยสามารถเป็นได้ โดยหลายคนเริ่มมีอาการตั้งแต่อายุยังน้อยโดยที่ไม่รู้ตัว

จากสถิติพบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคพาร์กินสันประมาณ 150-250 คน ต่อประชากร 100,000 คนในทุกช่วงวัย และจำนวนผู้ป่วยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ก็เพิ่มขึ้นทุกปี อันเป็นผลจากการพัฒนาด้านการวินิจฉัยและการให้ความรู้แก่ประชาชน

สำหรับสัญญาณเตือนของ “โรคพาร์กินสัน” ที่หลายคนมักมองข้าม เช่น การนอนละเมอ ท้องผูกเรื้อรัง ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน ทุกอาการเหล่านี้อาจเป็น “เสียงเตือน” จากสมองว่าระบบกำลังมีปัญหา และที่น่าตกใจคือ อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นก่อนที่อาการสั่นจะเริ่มขึ้นถึง 10-20 ปี หมายความว่าเมื่อร่างกายเริ่มมีอาการทางการเคลื่อนไหว เช่น เคลื่อนไหวช้าลง มือสั่น หรือเดินสะดุด นั่นคือช่วงที่เซลล์สมองตายไปแล้วกว่า 60%

นพ.สิทธิ เพชรรัชตะชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า “การนอนละเมอ” โดยเฉพาะการละเมอที่มีท่าทางเคลื่อนไหวหรือออกเสียง มักจะเชื่อมโยงกับการเสื่อมของสมองในระยะเริ่มต้น โดยมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคพาร์กินสันได้สูงกว่าคนทั่วไปถึง 30 เท่า หากเกิดร่วมกับอาการท้องผูกที่หาสาเหตุไม่ได้และการรับกลิ่นที่แย่ลงจนแทบไม่รู้ตัว ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงทันที

นอกจากนี้สาเหตุสำคัญของการเกิด “โรคพาร์กินสัน” คือ การเกิดภาวะย่อยโปรตีน Alpha-Synuclein โดยส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรม เมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยโปรตีนชนิดนี้ได้ โปรตีนเหล่านี้ก็สะสมในร่างกาย จนกลายเป็น “โปรตีนขยะ”  จุดเริ่มต้นของโปรตีนขยะเหล่านี้อาจเริ่มจาก “ลำไส้” ก่อน แล้วค่อยๆ เดินทางผ่านเส้นประสาทเข้าสู่ก้านสมองและสมองส่วนอื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากเริ่มมีอาการทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก แน่นท้อง หรือเรอ ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแค่อาการของระบบย่อยอาหาร แต่จริงๆ อาจเป็นสัญญาณของโรคสมองเสื่อมระยะเริ่มต้นได้

สำหรับอาการของ “โรคพาร์กินสัน” แบ่งออกเป็น 5 ระยะ โดยเริ่มจากอาการเล็กน้อย เช่น การเคลื่อนไหวช้า หรือเดินลำบาก และในระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะต้องพึ่งพาผู้อื่นในทุกการเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร การเดิน หรือแม้แต่กิจกรรมง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน หลายคนมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ตั้งแต่แรก เพราะอาการเริ่มต้นมักไม่ชัดเจน และเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของวัยหรือความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก โดยผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี, เพศชายที่มีโอกาสเป็นมากกว่าหญิงถึง 1.5 เท่า, ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน, เกษตรกรที่สัมผัสสารเคมีบ่อย ๆ รวมถึงนักกีฬาที่เคยบาดเจ็บที่สมอง เช่น นักมวย และนักฟุตบอล

นพ.สิทธิ กล่าวให้ข้อมูลต่อว่า “แม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา “โรคพาร์กินสัน” ให้หายขาด แต่การรักษาอย่างรวดเร็วสามารถช่วยบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น การใช้ยาเพิ่มระดับสารโดปามีนในสมอง และในปัจจุบันมีนวัตกรรมการรักษาที่ก้าวหน้าขึ้น เช่น เทคโนโลยี Deep Brain Stimulation (DBS) หรือการผ่าตัดฝังอิเล็กโทรดในสมอง ช่วยลดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า และลดการพึ่งพายาได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีอัลตราซาวด์ความเข้มสูง (Focused Ultrasound) ซึ่งเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้คลื่นเสียงยิงเข้าไปในสมองเฉพาะจุดเพื่อหยุดวงจรที่ผิดปกติ และแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะขยายผลได้ดีในกลุ่มผู้ป่วยระยะแรก

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารแบบ Mediterranean Diet ที่เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ปลา ไขมันดีจากน้ำมันมะกอก ช่วยลดความเสี่ยงของโรคพาร์กินสันได้อย่างมีนัยสำคัญ และการเปลี่ยนแปลงแบคทีเรียในลำไส้ยังมีบทบาทช่วยชะลอการดำเนินของโรคในอนาคต

นพ.สิทธิ กล่าวทิ้งท้ายว่า “โรคพาร์กินสัน” ไม่ใช่แค่โรคของผู้สูงวัยอีกต่อไป เพราะสามารถเกิดได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวัยกลางคนหรือแม้แต่วัยรุ่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีอันตราย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและลดความเสี่ยง”

เพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับ “โรคพาร์กินสัน” โรงพยาบาลพระรามเก้าได้จัดกิจกรรม “วันพาร์กินสันโลก” ณ ลานกิจกรรม ชั้น 2 อาคาร A เพื่อส่งต่อความรู้และช่วยเพิ่มการตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งภายในงานจะมีกิจกรรมให้ความรู้หลากหลาย เช่น บูธข้อมูลเกี่ยวกับโรคพาร์กินสัน, อาการ, สาเหตุ, แนวทางการดูแล, บูธโภชนาการแนะนำอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย และสัมมนาพิเศษ “พาร์กินสัน รู้เร็ว ป้องกันได้”

หากท่านต้องการดูแลสุขภาพของตนเองและคนที่รัก สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1270 หรือเว็บไซต์: www.praram9.com / Line: lin.ee/vR9xrQs หรือ @praram9hospital และ Facebook: Praram9 Hospital เรื่องสุขภาพ…ไว้ใจเรา #Praram9Hospitalอย่าลืมชวนคนที่คุณรักมาร่วม “โอบกอดสุขภาพดีไปด้วยกัน” เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน